ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

ภ.พ.36 กับการจ่ายเงินไปต่างประเทศ

บทความวันที่ 25 พ.ย. 2561  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 85485 ครั้ง

ภ.พ.36 กับการจ่ายเงินไปต่างประเทศ

การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม มี 3 กรณี คือ กรณีที่ 1 การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจากการทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียน ตามมาตรา 83/5 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีที่ 2 การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากมีการชำระราคาสินค้า ให้แก่ ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้า หรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร หรือชำระราคาค่าบริการให้กับผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีที่ 3 การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากการรับโอนกรรมสิทธิ์ในส่งค้าหรือสิทธิในบริการที่เคยได้สิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 จากองค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานเอกอัครราชทูต สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล อันเป็นหน้าที่ของผู้จ่ายเงินได้เมื่อมีพร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.พ.36 ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้กับผู้ประกอบการดังกล่าว หรือภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่ครบกำหนด  30 วัน บับแต่วันที่จ่ายเงินได้ ซึ่งยังมีความสงสัยใคร่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากรดังกล่าว สังเกตจากมีผู้เขียนคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปถามผู้เขียนอยู่เป็นระยะ ๆ จึงขอนำเฉพาะประเด็นการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร มากล่าวเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาและนำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามหัวข้อดังต่อไปนี้

1. ทำไมต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

2. ผลของการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม และความรับผิดของผู้จ่ายเงิน

3. การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยพิจารณาจากประเภทเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร

4. การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

5. การให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร

6. บทสรุป

 

1. ทำไมต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

สืบเนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีการบริโภค ที่มุ่งจัดเก็บภาษีจากผู้บริโภคขั้นสุดท้าย แต่เนื่องจากรัฐไมสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มโดยตรงจากผู้บริโภดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงกำหนดจัดเก็บจากการขายสินค้าหรือการให้บริการในราชอาณาจักร โดยให้ผู้ประกอบการที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้บริโภคโดยใกล้ชิดเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้ผู้ประกอบการ ทั้งที่ได้จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนสามารถผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่มได้โดยบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ไปกับราคาสินค้า หรือค่าบริการ รวมเรียกว่า “ภาษีทางอ้อม” 

สำหรับกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ นั้น ได้กำหนดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามหลักปลายทาง (Destination Principle) ของสินค้าหรือบริการ โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าที่มีรูปร่างซึ่งกรมศุลกากรเป็นผู้จัดเก็บอากรขาเข้าอยู่แล้ว จึงกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหรือผู้บริโภค เป็นผู้สำแดงใบขนสินค้าขาเข้าและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับผู้ประกอบการสามารถผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่มได้ แต่ในส่วนของผู้บริโภคที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าไม่สามารถผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อไปได้ จึงต้องรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นไว้เอง ภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีนี้จึงเป็น “ภาษีทางตรง

กล่าวสำหรับการนำเข้าบริการจากต่างประเทศ ซึ่งตามหลักการต้องจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามหลักปลายทาง (Destination Principle) ของบริการ และกรมศุลกากรไม่มีอำนาจจัดเก็บอากรขาเข้าในกรณีนี้ กฎหมายจึงต้องหาทางจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยบัญญัติมาตรา 77/2 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ให้ถือว่า กรณีผู้ประกอบการซึ่งได้ให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร นั้น เป็นการให้บริการในราชอาณาจักร ที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดหรือบางส่วนเกิดขึ้นเมื่อได้มีการชำระราคาค่าบริการทั้งหมดหรือบางส่วนตามมาตรา 78/1 (3) แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณจากฐานภาษีตามมาตรา 79 และอัตราภาษีตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร 

การให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร หมายความว่า การกระทำใด ๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ผู้ประกอบการในต่างประเทศได้กระทำขึ้นในต่างประเทศ และผู้รับบริการในราชอาณาจักรได้นำผลของการกระทำนั้นมาใช้ในราชอาณาจักร (ข้อ 2 วรรคแรก ของคำสั่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

กฎหมายยังได้กำหนดต่อไปว่า กรณีผู้รับบริการในราชอาณาจักร ใม่ว่าจะเป็นบุคคลใดๆทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งจ่ายเงินค่าบริการให้กับผู้ประกอบการซึ่งได้ให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร อันเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว นั้น ให้ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสียภาษีตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้จ่ายเงินต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้กับผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ กรณีผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้า หรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร นั้น เมื่อมีการชำระราคาสินค้าหรือ ราคาค่าบริการให้กับผู้ประกอบการดังกล่าว ให้ผู้จ่ายเงินค่าซื้อสินค้า หรือค่าบริการมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสียภาษีตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้จ่ายเงินต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้กับผู้ประกอบการ ด้วยเช่นเดียวกัน

การกำหนดให้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร นี้ เป็นบทบัญญัติที่กำหนดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามหลักปลายทางของสินค้าหรือบริการ เช่นเดียวกับการนำเข้าสินค้าโดยผ่านพิธีการทางศุลกากร จึงไม่อาจนำข้อกำหนดยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมในส่วนที่ไม่เกินหนึ่งล้านแปดแสนบาทต่อปี ตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร มาใช้บังคับได้ เนื่องจากการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามหลักการบริโภค ที่ต้องคำนึงถึงผู้ประกอบการรายย่อย แต่การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นดังกล่าว    

 

2. ผลของการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม และความรับผิดของผู้จ่ายเงิน

2.1  สำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้นำจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบเสร็จรับเงินที่ได้นำส่งตามแบบ ภ.พ.36 (ไม่รวมเงินเพิ่มตามมาตรา  89/1 แห่งประมวลรัษฎากร) ไปถือเป็นภาษีซื้อห้กออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนภาษีที่ได้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/1 (18) แห่งประมวลรัษฎากร และให้ถือว่า ใบเส็จรับเงินค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/14 แห่งประมวลรัษฎากร

       อนึ่ง การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว โดยยื่นแบบ ค.10 เพื่อขอคืน โดยไม่มีสิทธินำไปถือเป็นภาษีซื้อหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม มิฉะนั้น จะเข้าลักษณะเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (3) แห่งประมวบรัษฎากร 

2.2  สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือผู้ประกอบกิจการในระบบภาษีธุรกิจเฉพาะ จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้นำส่ง (ไม่รวมถึงเงินเพิ่มตามมาตรา  89/1 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (6) แห่งประมวลรัษฎากร) ไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือต้นทุนของทรัพย์สิน

2.3  สำหรับประชาชนผู้บริโภค รวมทั้งองค์การของรัฐบาล  หรือส่วนราชการ หรือบุคคลอื่นที่มิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้นำส่ง ถือเป็นค่าใช้จ่าย ทีต้องรับภาระไว้ เพราะไม่อาจผลักภาระไปยังบุคคลอื่นได้

2.4  ความรับผิดของผู้จ่ายเงิน

       2.4.1  ความรับผิดทางแพ่ง

                 (1)  ความรับผิดในจำนวนเงินภาษีมุลค่าเพิ่มที่มิได้นำส่งหรือนำส่งไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 54 แห่งประมวลรัษฎากร

                       กรณีที่ผู้จ่ายเงินไม่ได้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือนำส่งไว้แล้วแต่ยังไม่ถูกต้อง ครบถ้วน ผู้จ่ายเงินได้ต้องร่วมรับผิดกับผู้มีเงินได้ในจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ยังหักและนำส่งไว้ไม่ครบถ้วนนั้น 

                 (2) ความรับผิดในเงินเพิ่มภาษี ตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร

                       ผู้จ่ายเงินต้องรับผิดในจำนวนเงินเพิ่มภาษี สำหรับจำนวนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ยังนำส่งไว้ไม่ครบถ้วน และพ้นกำหนดเวลานำส่งตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว โดยต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่นำส่งไว้ไม่ครบถ้วนนั้น ทั้งนี้ ผู้จ่ายเงินได้ต้องรับผิดในจำนวนเงินเพิ่มดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว และในการคำนวณภาษีเงินได้ ผู้จ่ายเงินได้จะนำเงินเพิ่มภาษีไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณเงินได้สุทธิ หรือกำไรและขาดทุนสุทธิไม่ได้ ตามมาตรา 65 ตรี (6) แห่งประมวลรัษฎากร

       2.4.2  ความรับผิดทางอาญา

                 (1) กรณีผู้จ่ายเงิน ฝ่าฝืนไม่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 90 (5) แห่งประมวลรัษฎากร 

                 (2) ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 200,000 บาท

                       (ก) โดยเจตนาแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือเพื่อขอคืนภาษีอากรตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร หรือ

                       (ข) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือขอคืนภาษีอากรตามลักษณะ  2 แห่งประมวลรัษฎากร (มาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร)

                 (3) ผู้ใดโดยเจตนาไม่ยื่นรายการที่ต้องยื่นตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 37 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)

                 (4) ความผิดตามมาตรา 37 มาตรา 37 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากร และเป็นความผิดที่เกี่ยวกับจำนวนภาษีอากรที่หลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงตั้งแต่ 10 ล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป หรือจำนวนภาษีอากรที่ขอคืนโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน ตั้งแต่  2 ล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป และผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรดังกล่าวได้กระทำในลักษณะที่เป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิดเงินได้พึงประเมินหรือรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากร และมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้ ให้ถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เมื่ออธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่าย ความผิดมูลฐานส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้ว ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป

                       ในกรณีที่มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสียภาษีอากรเพิ่มขึ้น ผู้อุทธรณ์จะต้องชำระภายในกำหนดเวลาเช่นเดียวกับวรรคก่อน (มาตรา 37 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร)

 

3. การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยพิจารณาจากประเภทเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร                      

การทำความเข้าเกี่ยวกับการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยใช้ประเภทเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นตัวตั้งต้น จะช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะประการที่หนึ่ง มีความคุ้นเคยกับประเภทเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องจ่ายไปให้แก่ผู้มีเงินได้ในต่างประเทศ ที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย อยู่เป็นปกติ ประการทีสอง ความสัมพันธ์กับการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ตรงประเด็นที่สุด

3.1   เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

        เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

        ผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ล้วนแต่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นเงินได้จากการให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1)(ฐ) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่มีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการจ่ายค่าบริการจ้างรงงาน แม้จะได้จ่ายไปต่างประเทศ ก็ตาม

3.2   เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร  

        เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร แบ่งเป็น

        3.2.1  เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ ได้แก่ เงินได้ที่เป็น เบี้ยประชุม บำเหน็จ โบนัส เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ผู้จ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่ผู้จ่ายเงินได้จ่ายชำระหนี้ใดๆ ซึ่งผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ ไม่ว่าหน้าที่ หรือตำแหน่งงาน นั้น จะเป็นการประจำหรือชั่วคราว

                 ผู้มีเงินได้ในส่วนนี้ เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากร ได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 205) เรื่อง การกำหนดการกระทำที่ไม่ถือว่าเป็นการให้บริการ ตามมาตรา 77/1 (10)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558 กำหนดให้การปฏิบัติงานในฐานะกรรมการบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามที่กฎหมายกำหนด และกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยราชการ เป็นการกระทำที่ไม่ถือว่าเป็นการให้บริการ

                 ดังนั้น การจ่ายเงินได้พึงประเมินในกรณีนี้ไปให้ผู้มีเงินได้ในต่างประเทศ จึงไม่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินนได้ ณที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) วรรคท้าย แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตรา 15% ของเงินได้ 

        3.2.2 เงินได้จากการรับทำงานให้ ได้แก่ ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด เงินอุดหนุนในงานที่ทำ บำเหน็จ โบนัส เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ผู้จ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่ผู้จ่ายเงินได้จ่ายชำระหนี้ใดๆ ซึ่งผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการรับทำงานให้นั้น ไม่ว่าหน้าที่ หรือตำแหน่งงาน หรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว ซึ่งแยกเป็น

                 (1) เงินได้จากการเป็นนายหน้าตัวแทน

                 (2) เงินได้จากการรับจ้างทำงานให้ ที่เป็นรับจ้างทำของ 

                 การจ่ายเงินได้พึงประเมินในกรณีนี้ ให้แก่ผู้มีเงินได้ในต่างประเทศ นั้น หากได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถ้าเป็นการให้บริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ผู้จ่ายเงินได้ก็ไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลคาเพิ่มแต่อย่างใด

        ตัวอย่าง ตามคำสั่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544

        บริษัท ก จำกัด ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศให้ดำเนินการ ให้คำปรึกษาและแนะนำด้านการบริหาร การจัดการ การวางแผน กฎหมาย การเงิน การตลาดและบุคคล ซึ่งการให้บริการทั้งหมดได้กระทำในต่างประเทศและบริษัทในต่างประเทศได้จัดส่งข้อมูลดังกล่าวผ่านทางโทรศัพท์ โทรสาร E – MAIL (ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์) และจดหมายให้กับบริษัท ก จำกัด กรณีดังกล่าว ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ก จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 3 (1) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

        บริษัท ง จำกัด ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศให้ซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าโดยส่งเครื่องจักรไปซ่อมแซมในต่างประเทศ เมื่อบริษัทในต่างประเทศดำเนินการเรียบร้อยแล้วได้ส่งกลับมาให้บริษัท ง จำกัด ใช้ในประเทศไทย กรณีดังกล่าว ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ง จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 3 (4) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

3.3   เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร

        เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้ที่เป็นค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น

        เงินได้พึงประเมินในส่วนที่เป็น “ค่าสิทธิ” (Royalty) นั้น สำหรับประเทสคู่สัญญาตามอนุสัญญาภาษีซ้อนที่กระทำกับประเทศไทย มีนิยามศัพท์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น ตามวรรคสาม ของข้อ 12 แห่งอนุสัญญาภาษีซ้อนไทยสหรัฐอเมริการ ได้กำหนดนิยามค่ำว่า “ค่าสิทธิ” ไว้ดังนี้

        “(3)  คำว่า "ค่าสิทธิ" ที่ใช้ในข้อนี้หมายถึง การจ่ายไม่ว่าชนิดใด ๆ ที่ได้รับเป็นค่าตอบแทนเพื่อ                

               (ก) การใช้หรือสิทธิในการใช้ ลิขสิทธิ์ใดๆ ในงานวรรณกรรม ศิลปะ หรือ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งซอฟแวร์และ ฟิล์มภาพยนตร์ และงานฟิล์ม เทป หรือการกระทำ อื่นๆ เพื่อถอดแบบสำหรับการใช้ที่เกี่ยวข้องกับการกระจาย เสียงของวิทยุหรือโทรทัศน์ 

               (ข) เพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือวิทยาศาสตร์ หรือ

               (ค) เพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า แบบหรือหุ่นจำลอง แผนผังสูตรลับหรือกรรมวิธีลับใด ๆ หรือเพื่อข้อสนเทศเกี่ยวกับประสบการณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือทางวิทยาศาสตร์คำว่า "ค่าสิทธิ" จะรวมถึงผลได้ที่ได้รับจากการจำหน่ายสิทธิหรือทรัพย์สินใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับการผลิต การใช้ หรือการมอบให้ดังกล่าว”  

        กรณีผู้ประกอบการในต่างประเทศได้ให้ผู้ประกอบการหรือบุคคลใดใน ราชอาณาจักรได้ใช้สิทธิในสิทธิบัตร ได้ใช้กู๊ดวิลล์ ได้ใช้เครื่องหมายการค้า ได้ใช้ลิขสิทธิ์ ได้ใช้สัมปทาน ได้ใช้ค่าสิทธิ หรือได้ใช้สินค้าที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน โดยผู้ประกอบการใน ต่างประเทศยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิทธิในสิทธิบัตร กู๊ดวิลล์ เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ สัมปทาน ค่าสิทธิ หรือสินค้าที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน ไม่ถือเป็นการขายสินค้าที่ไม่มีรูปร่างตามมาตรา 77/1 (8) และมาตรา 77/1 (9) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 วรรคสาม และมาตรา 77/5 แห่งประมวลรัษฎากร 

        กรณีผู้ประกอบการในต่างประเทศรับจ้างเขียนซอฟต์แวร์ให้กับผู้ประกอบการหรือบุคคลใดซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างในราชอาณาจักร โดยผู้ว่าจ้างในราชอาณาจักรยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ดังกล่าว ไม่ถือเป็นการขายสินค้าที่ไม่มีรูปร่างตามมาตรา 77/1  (8) และมาตรา 77/1 (9) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 วรรคสาม และมาตรา 77/5 แห่งประมวลรัษฎากร

        ตัวอย่าง ตามคำสั่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544

        บริษัท จ จำกัด ประกอบกิจการเกี่ยวกับสนามกอล์ฟได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศให้ดำเนินการออกแบบสนามกอล์ฟโดยมีการจัดทำแผนผัง รายละเอียดและงานเขียนแบบสำหรับใช้ในการก่อสร้างสนามกอล์ฟ ซึ่งบริษัทในต่างประเทศยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในงานเขียนแบบและแผนผังอื่น ๆ เงินค่าจ้างออกแบบดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นค่า ตอบแทนเพื่อค่าสิทธิ กรณีดังกล่าว ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท จ จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 3 (5) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

        บริษัท ช จำกัด ประกอบธุรกิจถลุงโลหะ ได้ซื้อลิขสิทธิ์กรรมวิธีการผลิตจากบริษัทในต่างประเทศโดยบริษัทในต่างประเทศยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในลิขสิทธิ์กรรมวิธีการผลิต กรณีดังกล่าว ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ช จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 3 (6) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

        ส่วนราชการแห่งหนึ่งทำสัญญาจัดซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากบริษัทในต่างประเทศ โดยบริษัทในต่างประเทศเสนอราคาค่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยค่าลิขสิทธิ์ที่บริษัทในต่างประเทศยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในลิขสิทธิ์ ค่าติดตั้ง ค่าบำรุงรักษา ค่าฝึกอบรม ค่าให้คำปรึกษา ค่าเดินทาง และค่าที่พักของพนักงาน กรณีดังกล่าว ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ส่วนราชการมีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 3 (7) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

        อย่างไรก็ตาม กรณีผู้ประกอบการในต่างประเทศได้โอนกรรมสิทธิ์สินค้าที่ไม่มีรูปร่างให้กับผู้ประกอบการหรือบุคคลใดในราชอาณาจักรไม่ถือเป็น การให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถือเป็นการขายสินค้าที่ไม่มีรูปร่าง ตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร

        การขายสินค้าที่ไม่มีรูปร่างดังกล่าว เช่น การโอนกรรมสิทธิ์สิทธิในสิทธิบัตร การโอนกรรมสิทธิ์ในกู๊ดวิลล์ การโอนกรรมสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้า การโอนกรรมสิทธิ์ในลิขสิทธิ์ การโอนกรรมสิทธิ์ในสัมปทาน การโอนกรรมสิทธิ์ในค่าสิทธิ หรือการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน (ข้อ 2 วรรคสามและวรรคสี่ ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

3.4   เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากร

        เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่

        “(4)  เงินได้ที่เป็น

               (ก) ดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยตั๋วเงิน ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมไม่ว่าจะมีหลักประกันหรือไม่ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายดังกล่าว หรือผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออกและจำหน่ายครั้งแรกในราคาต่ำกว่าราคาไถ่ถอน รวมทั้งเงินได้ที่มีลักษณะทำนองเดียวกันกับดอกเบี้ย ผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนอื่นๆ ที่ได้จากการให้กู้ยืม หรือจากสิทธิเรียกร้องในหนี้ทุกชนิด ไม่ว่าจะมีหลักประกันหรือไม่ก็ตาม

               (ข) เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไรหรือ ประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรมหรืออุตสาหกรรม เงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายดังกล่าว

                     เพื่อประโยชน์ในการคำนวณเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่บุตรชอบด้วยกฎหมายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นผู้มีเงินได้ และความเป็นสามีภริยาของบิดาและมารดาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ถือว่าเงินได้ของบุตรดังกล่าวเป็นเงินได้ของบิดา แต่ถ้าความเป็นสามีภริยาของบิดาและมารดามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ถือว่าเงินได้ของบุตรดังกล่าวเป็นเงินได้ของบิดาหรือของมารดาผู้ใช้อำนาจปกครอง หรือของบิดาในกรณีบิดามารดาใช้อำนาจปกครองร่วมกัน

                     ความในวรรคสองให้ใช้บังคับกับบุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ด้วยโดยอนุโลม

               (ค) เงินโบนัสที่จ่ายแก่ผู้ถือหุ้น หรือผู้เป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

               (ง) เงินลดทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเฉพาะส่วนที่จ่ายไม่เกินกว่ากำไรและเงินที่กันไว้รวมกัน

               (จ) เงินเพิ่มทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งจากกำไรที่ได้มาหรือเงินที่กันไว้รวมกัน

               (ฉ) ผลประโยชน์ที่ได้จากการที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบเข้ากัน หรือรับช่วงกัน หรือเลิกกัน ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน

               (ช) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนการเป็นหุ้นส่วนหรือ โอนหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน”

        เนื่องจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทุกกรณีเป็น “ผลได้จากทุน” (Capital Gain) ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น  การจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ทุกกรณี ผู้จ่ายเงินได้จึงไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ  ภ.พ.36 เพื่อนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อย่างใด

3.5   เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) แห่งประมวลรัษฎากร 

        เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่

        “(5)  เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจาก

               (ก) การให้เช่าทรัพย์สิน 

               (ข) การผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน

               (ค) การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อนซึ่งผู้ขายได้รับคืนทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้น โดยไม่ต้องคืนเงินหรือประโยชน์ที่ได้รับไว้แล้ว...”   

        ตัวอย่าง ตามคำสั่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544

        บริษัท ข จำกัด ได้ทำสัญญาเช่าเครื่องจักรจากบริษัทในต่างประเทศเพื่อ นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปในประเทศไทย ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ข จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 3 (2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

3.6   เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร

        เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่

        “(6) เงินได้จากวิชาชีพอิสระ คือ วิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม หรือวิชาชีพอิสระอื่น ซึ่งจะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดชนิดไว้”

        ตัวอย่าง ตามคำสั่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544

        บริษัท ค จำกัด ได้ทำสัญญารับจ้างออกแบบคำนวณโครงสร้างทางยกระดับโครงการแห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัท ค จำกัด ได้ทำสัญญาจ้างช่วงงานคำนวณโครงสร้างบางส่วนกับบริษัทในต่างประเทศโดยบริษัทในต่างประเทศจะดำเนินการออกแบบและ คำนวณโครงสร้างในต่างประเทศ และส่งผลของงานให้กับบริษัท ค จำกัด กรณีดังกล่าว ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ค จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 3 (3) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

        อย่างไรก็ตาม สำหรับเงินได้จากวิชาชีพอิสระ ที่เป็นการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี และการว่าความ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1)(ฌ) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ กรณีจ่ายเงินได้ดังกล่าวไปต่างประเทศจึงไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อย่างใด

        “(ฌ) การให้บริการการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การว่าความ หรือการประกอบวิชาชีพอิสระอื่นตามที่อธิบดีกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรี ทั้งนี้ เฉพาะวิชาชีพอิสระที่มีกฎหมายควบคุม การประกอบวิชาชีพอิสระนั้น” 

3.7   เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร

        เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่

        “(7) เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ”

        เนื่องจากเงินได้ประเภทนี้ ผู้มีเงินได้ต้องเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย เท่านั้น และหากผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้ประกอบการต้องการประโยชน์สูงสุดในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน กรณีจึงไม่มีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม  เว้นแต่ผู้ประกอบการมิได้จดทะเบียนภาษ๊มูลค่าเพิ่มผู้จ่ายเงินได้ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อ นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นกรณีจ่ายเงินได้ให้แก่ ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการ (ขายสินค้าหรือ) ให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราว

3.8   เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร

        เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่

        “(8) เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) แล้ว”

        การกระทำใด ๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ผู้ประกอบการในต่างประเทศได้กระทำขึ้นในต่างประเทศ และผู้รับบริการในราชอาณาจักรได้นำผลของการกระทำนั้นมาใช้ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 77/2 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะส่วนที่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อผู้รับบริการในราชอาณาจักรจ่ายเงินค่าบริการให้กับผู้ประกอบการดังกล่าว ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสียภาษีตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้จ่ายเงินต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ภายใน 7 วันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้กับผู้ประกอบการตามมาตรา 83/6 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

        ตัวอย่าง ตามคำสั่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544

        บริษัท ซ จำกัด ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศผลิต BROCHURE เป็นรูปภาพของโรงแรมและเย็บเป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ โดยบางส่วนแจกให้ลูกค้าในประเทศไทย และบางส่วนแจกให้ลูกค้าในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ซ จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) โดยคำนวณจากค่าบริการทั้งหมด (ข้อ 3 (8) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

        บริษัท ฌ จำกัด ได้ทำสัญญาใช้บริการนำเสนอข้อมูลสินค้าหรือบริการผ่านอินเตอร์เน็ต หรือบริการเช่าพื้นที่บนเว็บไซท์ (Web Site) หรือบริการเช่าพื้นที่บนเซิร์ฟเวอร์ (Server) ของบริษัทในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ฌ จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) โดยคำนวณจากค่าบริการทั้งหมด (ข้อ 3 (9) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

        บริษัท บริษัท ญ จำกัด ได้ทำสัญญาใช้บริการอินเตอร์เน็ต หรือบริการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider) จากบริษัทในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ญ จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) โดยคำนวณจากค่าบริการทั้งหมด (ข้อ 3 (10) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

        บริษัท ฎ จำกัด ได้ทำสัญญาใช้บริการรับฝากเซิร์ฟเวอร์ (Data Management หรือ Co-Location) จากบริษัทในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ฎ จำกัด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) โดยคำนวณจากค่าบริการทั้งหมด (ข้อ 3 (11) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

 

4. การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

ตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้จ่ายเงินให้แก่ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้า หรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร นั้น มีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสียภาษีตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อมีการชำระราคาสินค้าหรือ ราคาค่าบริการให้กับผู้ประกอบการดังกล่าว โดยให้ผู้จ่ายเงินค่าซื้อสินค้า หรือค่าบริการ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้กับผู้ประกอบการ

ตัวอย่าง ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 97/2543  

กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อในต่างประเทศ และผู้ประกอบการจดทะเบียนผลิตสินค้าเพื่อส่งออกหรือซื้อสินค้าดังกล่าวจากโรงงานผู้ผลิตหรือผู้ขายในประเทศเพื่อส่งออก แต่ได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าในประเทศตามคำสั่งซื้อของผู้ซื้อในต่างประเทศ โดยที่สินค้าดังกล่าวไม่ได้ส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศ  โดยทั่วไปกรณีดังกล่าว ถือเป็นการขายสินค้าในราชอาณาจักร ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของราคาสินค้า โดยต้องจัดทำใบกำกับภาษีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยต้องจัดทำใบกำกับภาษีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อในต่างประเทศ เมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น กล่าวคือ เมื่อส่งมอบสินค้า หรือรับชำระราคาก่อนส่งมอบ

ตัวอย่าง แนวคำตอบข้อหารือของกรมสรรพากร  

สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนส่งมอบสินค้าให้แก่ ลูกค้าในประเทศของผู้ซื้อในต่างประเทศตามคำสั่งของผู้ซื้อในต่างประเทศนั้น ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อในต่างประเทศกับลูกค้าในประเทศ ถือว่าผู้ซื้อในต่างประเทศขายสินค้าให้แก่ลูกค้าในประเทศ ดังนั้นเมื่อลูกค้าในประเทศจ่ายเงินค่าซื้อสินค้าให้แก่ผู้ซื้อในต่างประเทศ จึงต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 และนำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ของราคาสินคา ภายในวันที 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้ ตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้ถือจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้นำส่งไว้นั้นเป็นภาษีซื้อของเดือนภาษีที่ได้นำส่งดังกล่าว

บริษัทฯ ประกอบกิจการขายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคในลักษณะร้านค้าสะดวก ต้องการขยายธุรกิจโดยการเพิ่มสาขาและชนิดของสินค้า บริษัทฯ จึงต้องสร้างศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ที่มีการจัดเก็บสินค้าด้วยระบบคอมพิวเตอร์ บริษัทฯ ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท A แห่งประเทศแคนาดา ไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย เพื่อให้บริการดังนี้

(1) รวบรวมและประเมินข้อมูลอย่างละเอียดที่จำเป็นต้องใช้ในการศึกษางานครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนหรือความหลากหลายของสินค้าในปัจจุบันและในแผนงานในอนาคตที่คาดการณ์ไว้ ระดับสินค้าคงคลัง และการเคลื่อนไหวของสินค้าเหล่านั้น ตำแหน่งที่ตั้งของร้านสาขาและประวัติหรือรายละเอียดการสั่งสินค้า ความถี่ของการจัดส่ง และเป้าหมายมาตรฐานการบริการต่อร้านสาขา

(2) ทำการสรุปและประเมินเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บ วิธีจัดสินค้า และวิธีการจัดส่งสินค้า รวมทั้งทำการออกแบบ Lay Out ต่างๆ และขนาดของคลังสินค้าที่เหมาะสมกับวิธีต่างๆ เหล่านั้น

(3) ทำการแนะนำระบบงานที่เหมาะสมที่สุด เพื่อรองรับแผนการขยายงานของบริษัทฯ และเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายผลตอบแทนในการลงทุน ตระเตรียมระบบ Lay Out และเตรียมงบประมาณในการดำเนินการ ทำการสรุปเรื่องขีดความสามารถสูงสุดหรือกำลังผลิตของ Lay Out ต่างๆ และระบุการเตรียมการขยายโครงการ

(4) เตรียมแบบ Lay Out อย่างละเอียดของเครื่องมือเครื่องใช้ที่ต้องติดตั้ง รวมทั้งระบุรายละเอียดเนื้อที่หรือสถานที่ใช้ประกอบการทำงานที่เกี่ยวข้องและทำการสรุปเรื่องขนาดของตัวอาคารคลังสินคา และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง

(5) ประสานงานกับสถาปนิกและวิศวกรของโครงการ เพื่อให้ทราบถึงเนื้อที่ที่ต้องว่างเว้น เพื่อใช้ปฏิบัติงานของส่วนต่างๆ ของอาคารคลังสินค้า

(6) คิดค้นและระบุมาตรฐานของอุปกรณ์ ทั้งที่ต้องประกอบติดตั้งกับตัวอาคาร และที่ไม่ต้องประกอบติดตั้ง เพื่อให้ได้มาตรฐานในการประมูลงานอุปกรณ์ดังกล่าวที่ได้ประสิทธิภาพ

(7) ประสานงานในการจัดส่งและการติดตั้งของอุปกรณ์ดังกล่าว

(8) พัฒนาขั้นตอนวิธีการปฏิบัติงานต่างๆ ดังกล่าว

(9) คิดค้นหาแผนงานอย่างละเอียดเป็นขั้นตอนในการเริ่มรับสินค้าเข้าคลัง และเริ่มการปฏิบัติงานของคลังสินค้า

ในการให้บริการดังกล่าว บริษัท A จะส่งพนักงานเข้ามาเก็บข้อมูลและให้บริการในประเทศไทยรวมระยะเวลาทั้งสิ้น 62 วัน เช่นนี้ เงินได้จากการให้บริการตามสัญญาดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ แต่โดยที่การส่งพนักงานเข้ามาให้บริการในประเทศไทยรวมเวลา 62 วัน ยังถือไม่ได้ว่า บริษัท A ให้บริการโดยผ่านสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย ดังนั้น บริษัท A จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยจากเงินได้ที่ได้รับตามสัญญาดังกล่าว ตามข้อ 7 วรรคหนึ่ง แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศแคนาดา เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 และการให้บริการของบริษัท A เข้าลักษณะเป็นการให้บริการโดยผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักร ซึ่งเข้ามาให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าจ้างตามสัญญาให้กับบริษัท A บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 ตามมาตรา 83/6 (1) (หนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0802/3488 ลงวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2539)

 

5. การให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร

กรณีผู้ประกอบการซึ่งได้ให้บริการที่กระทำในต่างประเทศ และมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ไม่ถือว่าการให้บริการนั้นเป็นการให้บริการในราชอาณาจักร ตามมาตรา 77/2 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นกิจกรรมที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out-Out: Out of VAT Scope) เพราะเป็นบริการที่ได้ให้ในต่างประเทศ และได้ใช้บริการนันในต่างประเทศ ผู้ประกอบการดังกล่าวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/13 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินค่าบริการจึงไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร (ข้อ 6 ของคำสั่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

ตัวอย่าง ตามคำสั่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544

บริษัท ก จำกัด ประกอบกิจการขายสินค้า ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศให้เป็นนายหน้าติดต่อหาลูกค้าในต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ก จำกัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 6 (1) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

บริษัท ข จำกัด ประกอบกิจการประเภทธุรกิจหลักทรัพย์ ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารในต่างประเทศ โดยบริษัท ข จำกัด ได้ว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศแห่งหนึ่งเป็นตัวแทนในการจัดหาแหล่งเงินกู้ ซึ่งบริษัท ข จำกัดจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ตัวแทน ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ข จำกัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 6 (2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

บริษัท ค จำกัด ประกอบกิจการผลิตสินค้า ได้ทำสัญญาแต่งตั้งบริษัทในต่างประเทศเป็นตัวแทนในการชำระราคาค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายในต่างประเทศ โดย ตัวแทนต้องจ่ายเงินทดรองแทนบริษัทฯ ไปก่อนและเรียกเก็บเงินคืนจากบริษัทฯ พร้อมกับ เรียกเก็บค่าบริการ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ค จำกัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 6 (3) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

บริษัท ง จำกัด ประกอบกิจการโรงแรม ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศให้ดำเนินการส่งเสริมการขาย การตลาด โฆษณา และรับจองห้องพัก ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ง จำกัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 6 (4) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

สถานีโทรทัศน์ในต่างประเทศรับจ้างโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์ในต่างประเทศ โดยมีรายได้จากการรับจ้างโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์จากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย สินค้าทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งมีผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายสินค้าในประเทศไทยได้ว่าจ้างโฆษณาดังกล่าวด้วย ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายสินค้าในประเทศไทยไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 6 (5) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

บริษัท จ จำกัด ว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศจัดทำโฆษณาลงในนิตยสารสวัสดีที่มีผู้โดยสารอ่านบนเครื่องบินซึ่งมีทั้งสายการบินในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท จ จำกัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 6 (6) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

บริษัท ฉ จำกัด ว่าจ้างบริษัทในต่างประเทศลงพิมพ์โฆษณาในนิตยสาร (Magazine) ในต่างประเทศ ซึ่งมีการขายนิตยสารดังกล่าวในประเทศไทยด้วย ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและมิได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัท ฉ จำกัด ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) (ข้อ 6 (7) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 104/2544)

 

6. ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร

 การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ในประเทศไทย ได้ตามมาตรา 40 (2)(3)(4)(5) หรือ (6) แห่งประมวลรัษฎากร ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย และการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร มีความสัมพันธ์กันใน 4 ลักษณะดังนี้

6.1   รายการจ่ายเงินได้ที่ต้องทั้งคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้

        6.1.1 เงินได้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย ในส่วนที่เป็น

               (1) ค่านายหน้าเนื่องจากการหาลูกค้าในประเทศไทย

               (2) เงินได้จากการรับทำงานให้

        6.1.2 เงินได้ตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้ที่เป็นค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย หรือไม่ก็ตาม

        6.1.3 เงินได้ตามมาตรา 40 (5)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร ค่าเช่าทรัพย์สินเพื่อนำมาใช้งานในประเทศไทย ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย

        6.1.4 เงินได้ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากวิชาชีพอิสระ ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย เว้นแต่ เงินได้จากการประกอบโรคศิลปะ ค่าว่าความ และค่าสอบบัญชี

6.2   รายการจ่ายเงินได้ที่ไม่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้

        6.2.1 เงินได้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย ในส่วนที่เป็น

               (1) ค่านายหน้าเนื่องจากการหาลูกค้าในประเทศไทย

               (2) เงินได้จากการรับทำงานให้

               ซึ่งเข้าลักษณะเป็น “กำไรจากธุรกิจ” ตามอนุสัญญาภาษีซ้อน ที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร

        6.2.2 เงินได้ตามมาตรา 40 (5)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร ค่าเช่าทรัพย์สินเพื่อนำมาใช้งานในประเทศไทย ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย โดยทั่วไป เข้าลักษณะเป็น “กำไรจากธุรกิจ” ที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร เว้นแต่ ตามอนุสัญญาภาษีซ้อนกำหนดให้ ค่าสิทธิในการใช้ทรัพย์สิน ถือเป็นรายการเงินได้ “ค่าสิทธิ” (Royalty) ซึ่งรวมอยู่ในรายการจ่ายเงินได้ตามข้อ 6.1.2 ข้างต้น   

        6.2.3 เงินได้ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากวิชาชีพอิสระ ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย เว้นแต่ เงินได้จากการประกอบโรคศิลปะ ค่าว่าความ และค่าสอบบัญชี

6.3   รายการจ่ายเงินได้ที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ไม่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้

        6.3.1 เงินได้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย ในส่วนที่เป็น

               (1) ค่านายหน้าเนื่องจากการหาลูกค้าในต่างประเทศ

               (2) ค่าธรรมเนียมการเป็นตัวแทนในการจัดหาแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ

                (3) ค่าบริการการเป็นตัวแทนในการชำระราคาค่าสินค้าในต่างประเทศ

        6.3.2 เงินได้ตามมาตรา 40 (4)(ก)-(ช) แห่งประมวลรัษฎากร “ผลได้จากทุน” (Capital Gain) ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั้งที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย และมิได้ตั้งอยู่ในประเทศที่มี่อนุสัญญาภาษีซ้อนกั้บประเทศไทย เนื่องเพราะเป็นกิจกรรมทีไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

        6.2.3 เงินได้ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากวิชาชีพอิสระ ที่เป็นเงินได้จากการประกอบโรคศิลปะ ค่าว่าความ และค่าสอบบัญชี ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย

6.4   รายการจ่ายเงินได้ที่ไม่ต้องทั้งคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และไม่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้

        6.4.1 เงินได้ตามมาตรา 40 (4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร “เงินปันผล” ที่ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และมิได้มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย ในกรณีดังต่อไปนี้

               (1) บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้จ่ายและผู้รับเงินปันผลได้รับในระหว่างระยะเวลาที่ผู้ได้รับการส่งเสริม ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยต้องเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่านั้น

               (2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ประกอบกิจการโรงเรียนเอกชน หรือกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน แต่ไม่รวมถึงกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทกวดวิชาที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน โดยต้องเป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการประกอบกิจการดังกล่าว

               (3) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ประกอบกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นหรือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน โดยต้องเป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการประกอบกิจการดังกล่าว

        6.2.3 เงินได้ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากวิชาชีพอิสระ ที่เป็นเงินได้จากการประกอบโรคศิลปะ ค่าว่าความ และค่าสอบบัญชี ซึ่งจ่ายให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย

 

ตารางสรุปการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร

และการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร

 

รายการจ่ายเงินได้

ตามมาตรา 40                     

การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

DTA

Non DTA

1. มาตรา 40 (2)

- ค่านายหน้า

  (Commission)     

 

 

- ถือเป็นกำไรจากธุรกิจ ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

 

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15

 

- นำส่ง กรณีใช้บริการในไทย

- ไม่นำส่ง กรณีไม่ใช้บริการในไทย

- เงินได้จากการรับทำงานให้

- ถือเป็นกำไรจากธุรกิจ ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย                          

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15%           

- นำส่ง กรณีใช้บริการในไทย

- ไม่นำส่ง กรณีไม่ใช้บริการในไทย เช่น การฝึกอบรมในต่างประเทศ

2. เงินได้ตามมาตรา 40 (3)      

   

         

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไม่เกิน 15% มีการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย      

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15%            

- นำส่ง กรณีใช้บริการในไทย

- ไม่นำส่ง กรณีจ่ายค่ากรรมสิทธิ์ในสินค้า

3. เงินได้ตามมาตรา 40 (4)(ก)

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15%         

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15%            

- ไม่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

4. เงินได้ตามมาตรา 40 (4)(ข)                

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 10%         

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 10%            

- ไม่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

5. เงินได้ตามมาตรา 40 (5)(ก)                

- ถือเป็นกำไรจากธุรกิจ ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย                          

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15%           

- นำส่ง กรณีใช้บริการในไทย

 

6. เงินได้ตามมาตรา 40 (6)

- ถือเป็นกำไรจากธุรกิจ ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย                          

- หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15%           

- นำส่ง กรณีใช้บริการในไทย

 

7. เงินได้ตามมาตรา 40 (8) - ค่าโฆษณา                                

 

- ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย     

- ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย     

- นำส่ง กรณีใช้บริการในประเทศไทย

- ไม่ต้องนำส่ง กรณีไม่ได้ใช้บริการในประเทศไทย 

 

7. บทสรุป

การน่ำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้จ่ายเงินได้ กรณีมีการชำระราคาสินค้าให้แก่ ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้า หรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร หรือชำระราคาค่าบริการให้กับผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร ตามหลักการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามหลักปลายทาง (Destination Principle) เช่นเดียวกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ แต่เป็นกรณ๊ที่กรมศุลกากรไม่มีอำนาจในการจัดเก็บอากรขาเข้าในกรณีนี้ กฎหมายจึงกำหนดให้กรมสรรพากรเป็นผู้จัดเก็บโดยกำหนดให้ผูจ้ายเงินมีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้นำส่งมาใช้เป็นภาษีซื้อ เช่นเดียวกับภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า โดยใช้ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ทางราชการออกให้เป็นใบกำกับภาษี

สำหรับผู้บริโภคการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการใช้บริการที่ได้ให้ในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการในประเทศไทย เป็นกรณีที่มีการละเลยกันมาก เป็นเพราะไม่ทราบถึงบทบาทหน้าที่ และอาจเป็นเพราะมีจำนวนเล็กน้อย ยิบย่อย ประกอบกับในปัจจุบันทางราชการไม่มีข้อมูลในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีหลายกรณีที่การจ่ายเงินได้ไปต่างประเทศไม่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะกิจกรรมที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษ๊มูลค่าเพิ่ม อาทิ การจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากร หรือการใช้บริการที่ได้ให้ในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ

การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีใช้บริการที่ได้ให้ในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการในประเทศไทย ตามแบบ ภ.พ.36 มีหลายกรณีที่ต้องนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามแบบ ภ.ง.ด.54 ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ควบคู่กันไป แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่ไม่ต้องนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.54 จึงต้องทำความเข้าใจและใช้ความระมัดระวังมิให้เกิดข้อผิดพลาด

การนำภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่ได้นำส่งไว้ตามแบบ ภ.พ.36 มาใช้เป็นเครดิตหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นกรณีที่ผู้ประกอบการสามารถพิสูจน์ที่มาของภาษีซื้อต่อเจ้าพนักงานประเมินและได้รับคืนภาษีได้โดยสะดวก