ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประมวลรัษฎากร ตอนที่ 3

บทความวันที่ 25 ส.ค. 2559  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 2774 ครั้ง

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประมวลรัษฎากร ตอนที่ 3

 

ในช่วงต้นของการบังคับใช้ประมวลรัษฎากร ต่อจากพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ พุทธศักราช 2475 พระราชบัญญัติภาษีการค้า พุทธศักราช 2475 พระราชบัญญัติภาษีการธนาคารและการประกันภัย พุทธศักราช 2476 และพระราชบัญญัติอากรแสตมป์ พุทธศักราช 2475 นั้น "ปีภาษี" หมายถึง ปีปฏิทินหลวง โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป ซึ่งเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ไทยมาแต่เก่าก่อน และเหมือนกับประเทศญี่ปุ่น วันที่ใช้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรจึงกำหนดให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2482 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตามกระแสตะวันตกที่เริ่มต้นปีหรือศักราชใหม่ในวันที่ 1 มกราคม ของทุกปีก็แรงขึ้นมา จนรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ที่มุ่งพัฒนาประเทศไทยให้เป็นประเทศมหาอำนาจ จึงได้ตราพระราชบัญญัติปีประดิทิน พ.ศ. 2483 โดยมีหลักการกำหนดปีประดิทินใหม่มีระยะเวลาสิบสองเดือน เริ่มแต่วันที่ ๑ มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมแก่กาลสมัย และจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณ

ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติปีประดิทิน พ.ศ. 2483 ได้บัญญัติว่า "ปีปฏิทินนั้นให้มีกำหนดระยะเวลาสิบสองเดือน เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม

ปีซึ่งเรียกว่า ปีพุทธศักราช 2483 ให้สิ้นสุดลงวันที่ 31 ธันวาคม ที่จะถึงนี้ และปีซึ่งเรียกว่า ปีพุทธศักราช 2584 ให้เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม ต่อไป"

ในส่วนที่เกียวกับภาษีอากรนั้นเป็นไปตามมาตรา 7 ซึ่งบัญญัติว่า

"บรรดาเงินภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมใดๆ ที่มีกำหนดต้องเสียเป็นรายปี ซึ่งเริ่มแต่วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2483 นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเต็มจำนวนสิบสองเดือน

 ส่วนเงินภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมที่ต้องเสียสำหรับปีพุทธศักราช 2484 นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเพียงสามในสี่ส่วนของจำนวนทั้งปี"

การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทยสำหรับปี 2484 จึงจัดเก็บเพียง 9 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2484 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2484 เท่านั้น สำหรับปีภาษี 2485 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันจัดเก็บภาษีเงินได้เป็นรายปีภาษีระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี (เห็นว่าเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่ควรบันทึกไว้ เผื่อในภายภาคหน้าอาจหาที่อ้างอิงไม่ได้ ว่าเพราะเหตุใดทำไม่จึงเป็นเข่นนั้น)

กฎหมายประมวลรัษฎากร บัญญัติขึ้นภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 รูปแบบของกฎหมายแม้กำหนดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงใช้พระราชอำนาจในการตรากฎหมาย ดังเช่นที่เคยเป็นมาก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้เป็นระบอบประชาธิปไดยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่พระองค์ท่านหาได้มีพระราชอำนาจในการบัญญัติกฎหมายโดยพระองค์เองไม่ หากแต่เป็นไปตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี จึงต้องมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จึงในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติยกย่องพระเกียรติยศแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้สูงสุดว่า "ผู้ใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้" กล่าวคือ เพราะเหตุที่พระองค์ท่านทรงตรากฎหมายขึ้น หากกระทบแก่บุคคลใด บุคคลนั้นหามีสิทธิฟ้องร้องพระมหากษัตริย์เพราะเหตุดังกล่าวมิได้ และบัญญัติรองรับไว้ถึงเหตุอื่นใดจนทุกประการด้วย ในฐานะพระองค์ท่านทรงเป็นพระประมุขของปวงชนชาวไทย ทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัว (ที่ทรงประทับอยู่เหนือเศียรเกล้วของพวกเราเหล่าชาวไทยทั้งปวง - เว้นแต่มันผู้ใดที่บังอาจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (เจ้าของแผ่นดินไทยโดยแท้)

หลักการข้อนี้ เป็นหลักสากลของประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขที่ว่า "The King Can Do No Wrong"

นอกจากนี้ ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 และมาตรา 4 แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติฯ หรือประมวลรัษฎากร ก็เพื่อบอกให้รู้ว่า กฎหมายนี้ อยู่ในบังคับของกระทรวงการคลังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอื่นจะเข้ามาก้าวก่ายมิได้โดยเด็ดขาด