ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

บันทึก เรื่อง ทบทวนข้อหารือกรณีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

บทความวันที่ 11 มี.ค. 2563  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 2066 ครั้ง


ขอนำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นบันทึก เรื่อง ทบทวนข้อหารือกรณีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินประกันการใช้ไฟฟ้า  ซึ่งขัดแยังกับคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 73/2541 มาเผยแพร่

ซึ่งบันทึกดังกล่าวเผยแพร่ในเวบไซต์ดังต่อไปนี้ 

http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?whichLaw=cmd&year=2547&lawPath=c2_0011_2547

 

ความเห็นฉบับย่อ

 

บันทึก เรื่อง ทบทวนข้อหารือกรณีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินประกันการใช้ไฟฟ้า  - คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 3 คณะที่ 5 และคณะที่ 12)  เรื่องเสร็จที่ 11/2547

มาตรา 79 วรรคหนึ่ง มาตรา 82/4 วรรคหนึ่ง ประมวลรัษฎากร

 

มาตรา 82/4 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น โดยคำนวณจากฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการ ซึ่งฐานภาษี ได้แก่ มูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ คือ เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือประโยชน์ใดๆ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการจำหน่าย จ่าย โอนซึ่งทรัพย์สิน หรือการให้บริการของตนเอง

ข้อ 4 ของข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยการใช้ไฟฟ้าและบริการ .2535  กำหนดความหมาย หลักประกันการใช้ไฟฟ้า ไว้ว่า เป็นหลักประกันที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ให้นำมาวางเพื่อเป็นประกันการชำระค่าไฟฟ้า เบี้ยปรับ และหรือหนี้อื่นอันเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ไฟฟ้า รวมทั้งดอกเบี้ยอันเกิดขึ้นจากหนี้ดังกล่าวด้วย เมื่อเงินประกันการใช้ไฟฟ้าไม่ได้จ่ายเพื่อชำระค่ากระแสไฟฟ้า หรือตอบแทนการได้รับบริการการใช้ไฟฟ้า เพราะเป็นเงินที่ผู้ใช้ไฟฟ้านำมาวางและเมื่อมีการเลิกสัญญา หากผู้ใช้ไฟฟ้ามิได้ค้างชำระค่าใช้ไฟฟ้าก็ได้รับคืนเต็มจำนวน ดังนั้น เงินประกันการใช้ไฟฟ้าจึงไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายหรือการให้บริการ ที่จะนำมาใช้เป็นฐานภาษีตามนัยมาตรา 79 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้

 

ความเห็นฉบับเต็ม

 

เรื่องเสร็จที่ ๑๑/๒๕๔๗

 

บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

เรื่อง  ทบทวนข้อหารือกรณีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

                       

 

กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ กค ๐๘๑๑/๑๗๕๒๒ ลงวันที่  สิงหาคม ๒๕๔๓ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความว่า กระทรวงการคลังขอให้สำนักงานฯ พิจารณาทบทวนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ เกี่ยวกับกรณีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้เคยมีหนังสือ ที่ มท ๕๒๐๗/๑๑๗/๑๒  ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ขอให้สำนักงานฯ ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายว่า เงินประกันการใช้ไฟฟ้าถือว่าเป็นมูลค่าของฐานภาษีที่ กฟนได้รับหรือพึงได้รับจากการขายกระแสไฟฟ้าหรือการให้บริการการใช้ไฟฟ้าหรือไม่ และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ มีคำวินิจฉัยว่า เงินประกันการใช้ไฟฟ้าเป็นเงินที่ กฟนได้รับมาโดยมีข้อผูกพันที่จะต้องคืนในภายหลัง จึงมิใช่รายรับที่อยู่ในข่ายที่จะนำมารวมเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อคิดภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๗๙ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากรได้  โดยกระทรวงการคลังเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๑๒๙/๒๕๔๐ (ระหว่างบริษัทชินวัตร เพจจิ้ง จำกัด โจทก์ และกรมสรรพากร จำเลยและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว เป็นกรณีที่มีข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินประกัน แต่ศาลฎีกาเห็นว่า เงินค่าประกันการใช้บริการโทรศัพท์ติดตามตัวที่ผู้ขอรับบริการจ่ายให้แก่ผู้ประกอบการนั้น เป็นส่วนหนึ่งของค่าบริการ (เพราะหากผู้ใช้บริการไม่ชำระเงินค่าประกัน บริษัทผู้ให้บริการก็จะไม่ให้บริการ)  ดังนั้น จึงต้องนำเงินจำนวนนั้นมาคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๗๙ แห่งประมวลรัษฎากร

กระทรวงการคลังเห็นว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาขัดกับคำพิพากษาศาลฎีกา และหากกรมสรรพากรจำเป็นต้องถือปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการโดยรวม คือ (เป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างผู้ประกอบการที่เป็นรัฐวิสาหกิจและเอกชนเพราะกรมสรรพากรได้ถือปฏิบัติจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเงินประกันไม่ว่าจะเกิดจากการขายสินค้าหรือให้บริการ โดยไม่มีการแบ่งแยกผู้ประกอบการมาก่อน และ (เป็นตัวอย่างให้ผู้ประกอบการอื่นๆ ยกเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ยอมเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้ชำระไว้แล้วด้วย  จึงขอให้พิจารณาทบทวนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวเพื่อให้การจัดเก็บภาษีอากรเกิดความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ

เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนี้เป็นการขอทบทวนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง  การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินประกันการใช้ไฟฟ้า[๑] และเป็นกรณีที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะในหลายด้านและต้องการความรอบคอบในการพิจารณา จึงขอให้กรรมการกฤษฎีกาสามคณะ ได้แก่ กรรมการกฤษฎีกา คณะที่  คณะที่  และคณะที่ ๑๒ มาประชุมปรึกษาหารือร่วมกันเป็นกรณีพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ตามนัยข้อ ๑๐ วรรคสาม[๒]แห่งระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา .๒๕๒๒ และข้อ ๑๒ วรรคหนึ่ง[๓] แห่งระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าด้วยการประชุมของกรรมการกฤษฎีกา .๒๕๒๒

 

คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่  คณะที่  และคณะที่ ๑๒) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าว โดยได้รับฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงจากผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมสรรพากรและผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวงแล้ว มีความเห็นดังนี้

ตามบทบัญญัติมาตรา ๘๒/ วรรคหนึ่ง[๔] แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น โดยคำนวณจากฐานภาษีและอัตราภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมาตรา ๗๙[๕] แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการไว้ว่า ได้แก่ มูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ และเมื่อพิจารณาตามมาตรา ๗๙ วรรคสอง[๖] ประกอบกับคำนิยามของคำว่า ขาย” ตามมาตรา ๗๗/ ()[๗] คำว่า สินค้า” ตามมาตรา ๗๗/ ()[๘] และคำว่า “บริการ” ตามมาตรา ๗๗/ (๑๐)[๙] แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว จะเห็นได้ว่า มูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้า หมายถึง เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือประโยชน์ใดๆ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการจำหน่าย จ่าย โอนซึ่งทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้ หรือเพื่อการใดๆ และรวมถึงสิ่งของทุกชนิดที่นำเข้า ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ หรือการกระทำอื่นใดตามที่กำหนดไว้ตาม ()-(ของ (ของมาตรา ๗๗/ แห่งประมวลรัษฎากร  ส่วนมูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการให้บริการ หมายถึง เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือประโยชน์ใดๆ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า ซึ่งรวมถึงการให้บริการของตนเองไม่ว่าประการใดๆ แต่ไม่รวมถึงกรณีตาม ()-(ของ (๑๐ของมาตรา ๗๗/ แห่งประมวลรัษฎากร

สำหรับ หลักประกันการใช้ไฟฟ้า” นั้น ตามข้อ [๑๐] ของข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยการใช้ไฟฟ้าและบริการ .๒๕๓๕ ได้กำหนดความหมายไว้ว่า เป็นหลักประกันที่การไฟฟ้านครหลวงให้นำมาวางเพื่อเป็นประกันการชำระค่าไฟฟ้า เบี้ยปรับ และหรือหนี้อื่นอันเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ไฟฟ้า รวมทั้งดอกเบี้ยอันเกิดขึ้นจากหนี้ดังกล่าวด้วย ซึ่งเห็นได้ว่า เงินประกันการใช้ไฟฟ้ามิใช่เงินที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้า เนื่องจากมิใช่เป็นเงินที่จ่ายเพื่อชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ผู้ใช้ไฟฟ้าใช้ และเงินประกันนี้ก็ไม่เป็นเงินที่ กฟนได้รับหรือพึงได้รับจากการให้บริการการใช้ไฟฟ้าด้วย เพราะแม้ว่าก่อนที่จะมีการขายกระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า กฟนจะต้องดำเนินการบางอย่างให้แก่ผู้ขอใช้ไฟฟ้าอันเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จำเป็นต้องกระทำเพื่อให้การขายกระแสไฟฟ้าสำเร็จขึ้นได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวในบางกรณี เช่น การเดินสายไฟฟ้า อาจถือได้ว่าเป็นการให้บริการก็ตาม แต่การวางเงินประกันนั้นก็ไม่มีลักษณะเป็นการตอบแทนการให้บริการ  ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงสาระสำคัญของค่าบริการแล้วจะเห็นได้ว่า ค่าบริการจะต้องเป็นเงินหรือสิ่งอื่นที่ผู้ใช้บริการจ่ายให้แก่ผู้ให้บริการเพื่อตอบแทนการได้รับบริการ ซึ่งมาตรา ๗๗/ (๑๐แห่งประมวลรัษฎากร ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่า แต่เงินประกันนี้มิใช่เป็นประโยชน์อันมีมูลค่า ที่ กฟนได้รับ เพราะเป็นเงินที่ผู้ใช้ไฟฟ้านำมาวางและเมื่อมีการเลิกสัญญา หากผู้ใช้ไฟฟ้ามิได้ค้างชำระค่าใช้ไฟฟ้า กฟนต้องคืนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าเต็มจำนวน เงินประกันการใช้ไฟฟ้าจึงไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายหรือการให้บริการ และมิใช่ฐานภาษีตามนัยมาตรา ๗๙ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่  คณะที่  และคณะที่ ๑๒) โดยมติเสียงข้างมาก (คะแนนเสียง ๑๓ เสียงต่อ  เสียง งดออกเสียง  เสียงจึงมีความเห็นตามความเห็นเดิมของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ว่า กฟนไม่ต้องนำเงินประกันการใช้ไฟฟ้าที่ได้รับมารวมเป็นฐานภาษีเพื่อคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

ลงชื่อ   พรทิพย์  จาละ

(นางสาวพรทิพย์  จาละ)

รองเลขาธิการฯ

รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

 

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มกราคม ๒๕๔๗


ส่งพร้อมหนังสือ ด่วนมาก ที่ นร ๐๙๐๑/๐๐๒๓ ลงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๔๗ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

[๑] บันทึก เรื่อง  การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเงินประกันการใช้ไฟฟ้า (เรื่องเสร็จที่ ๕๓๙/๒๕๔๒)

[๒] ข้อ ๑๐          ฯลฯ                                                        ฯลฯ

  กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ หรือผู้ขอความเห็นอาจขอให้ทบทวนปัญหาที่กรรมการกฤษฎีกาคณะใดคณะหนึ่งได้วินิจฉัยไปแล้วอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ในกรณีนี้ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการกฤษฎีกาสองหรือสามคณะเป็นการประชุมพิเศษ หรือจัดให้มีการประชุมใหญ่กรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาปัญหานี้ได้ตามที่เห็นสมควร

[๓] ข้อ ๑๒ ในกรณีที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะในหลายด้านหรือต้องการความรอบคอบในการพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาอาจขอให้กรรมการกฤษฎีกาสองหรือสามคณะมาประชุมปรึกษาหารือร่วมกันเป็นกรณีพิเศษก็ได้

ฯลฯ                                                        ฯลฯ

[๔] มาตรา ๘๒/  ภายใต้บังคับมาตรา ๘๓/ มาตรา ๘๓/ และมาตรา ๘๓/ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น โดยคำนวณจากฐานภาษีตามส่วน  และอัตราภาษีตามส่วน 

ฯลฯ                                                        ฯลฯ

[๕] มาตรา ๗๙  ภายใต้บังคับมาตรา ๗๙/ ฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการ ได้แก่ มูลค่าทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ รวมทั้งภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในมาตรา ๗๗/ (๑๙ถ้ามี ด้วย

  มูลค่าของฐานภาษีให้หมายความถึง เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือประโยชน์ใดๆ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน

ฯลฯ                                                        ฯลฯ

[๖] โปรดดูเชิงอรรถที่ ข้างต้น

[๗] มาตรา ๗๗/  ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

ฯลฯ                                                        ฯลฯ

(ขาย” หมายความว่า จำหน่าย จ่าย โอนสินค้า ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และให้หมายความรวมถึง

(สัญญาให้เช่าซื้อสินค้า สัญญาซื้อขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อได้ส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อแล้ว หรือสัญญาจะขายสินค้าที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี

(ส่งมอบสินค้าให้ตัวแทนเพื่อขาย

(ส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักร

(นำสินค้าไปใช้ไม่ว่าประการใดๆ เว้นแต่การนำสินค้าไปใช้เพื่อการประกอบกิจการของตนเองโดยตรงตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

(มีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบตามมาตรา ๘๗ (หรือมาตรา ๘๗ วรรคสอง

(มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ  วันเลิกประกอบกิจการ แต่ไม่รวมถึงสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ประกอบการซึ่งได้ควบเข้ากันหรือได้โอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือผู้รับโอนกิจการต้องอยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๘๒/

(กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

(“สินค้า” หมายความว่า ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้ หรือเพื่อการใดๆ และให้หมายความรวมถึงสิ่งของทุกชนิดที่นำเข้า

(๑๐)“บริการ” หมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า และให้หมายความรวมถึงการใช้บริการของตนเอง ไม่ว่าประการใดๆ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึง

(การใช้บริการหรือการนำสินค้าไปใช้เพื่อประกอบกิจการของตนเองโดยตรง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

(การนำเงินไปหาประโยชน์โดยการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรหรือหลักทรัพย์

(การกระทำตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี

ฯลฯ                                                        ฯลฯ

[๘] โปรดดูเชิงอรรถที่ ข้างต้น

[๙] โปรดดูเชิงอรรถที่ ข้างต้น

[๑๐] ข้อ   ในข้อบังคับนี้

ฯลฯ                                                        ฯลฯ

หลักประกันการใช้ไฟฟ้า” หมายความว่า หลักประกันที่การไฟฟ้านครหลวงให้นำมาวางเพื่อเป็นประกันการชำระค่าไฟฟ้า เบี้ยปรับ และหรือหนี้อื่นอันเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ไฟฟ้า รวมทั้งดอกเบี้ยอันเกิดจากหนี้ดังกล่าวด้วย

ฯลฯ                                                        ฯลฯ