ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

เรียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับนักบัญชี ตอนที่ 7 โครงสร้างกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม: ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

บทความวันที่ 23 ม.ค. 2564  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 1037 ครั้ง

เรียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับนักบัญชี ตอนที่ 7

โครงสร้างกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม: ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม


บทบัญญัติเกี่ยวกับ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นไปตามมาตรา 82 มาตรา 82/1 และมาตรา 82/2 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากการประกอบกิจกรรมที่อยู่ในต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวล รวมทั้งผู้ที่ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ และใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย ตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งอาจจำแนกผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม รัษฎากร ได้ดังนี้

1. ผู้ประกอบการ

2. ผู้นำเข้า

3. ผู้ที่กฎหมายให้ถือว่ามีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

4. ผู้ที่ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ และใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย

 

1. ผู้ประกอบการ

"ผู้ประกอบการ" หมายความว่า บุคคลซึ่งขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะได้รับประโยชน์ หรือค่าตอบแทนหรือไม่ และไม่ว่าจะได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วหรือไม่ (มาตรา 77/1 (5) แห่งประมวลรัษฎากร)

1.1  องค์ประกอบของผู้ประกอบการ

      จากนิยามดังกล่าวอาจจำแนกองค์ประกอบของผู้ประกอบการได้ดังนี้

      1.1.1 เป็นบุคคลใดๆ ได้แก่

              (1) บุคคลธรรมดา กองมรดก (มาตรา 77/1 (2) แห่งประมวลรัษฎากร)

              (2) ห้างหุ้นส่วนสามัญ กองทุน หรือมูลนิธิที่มิใช่นิติบุคคล หน่วยงานหรือกิจการของเอกชนที่กระทำโดยบุคคลธรรมดาตั้งแต่สองคนขึ้นไป ที่มิใช่นิติบุคคล (มาตรา 77/1 (3) แห่งประมวลรัษฎากร) 

              (3) บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก่

                   (ก) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั้งที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย

                   (ข) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

                   (ค) กิจการที่ดำเนินเป็นทางค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

                   (ง) กิจการร่วมค้า

                   (จ) มูลนิธิหรือสมาคม แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดให้เป็นองค์การสาธารณกุศล (มาตรา 77/1 (4) แห่งประมวลรัษฎากร)                         (4) องค์การของรัฐบาล ตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก่

                   (ก) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล เช่น กระทรวงทบวง กรม จังหวัด

                   (ข) กิจการของรัฐที่จัดตั้งตามกฎหมายนั้น เช่น องค์การรัฐวิสาหกิจ เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารราชการส่วนจังหวัด องค์การบริหารราชการส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา

                   (ค) หน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล

               (5) สหกรณ์

               (6) องค์การอื่นที่กฎหมายกำหนดให้เป็นนิติบุคคล (มาตรา 77/1 (4) แห่งประมวลรัษฎากร)

      1.1.2 ประกอบกิจการขายสินค้า หรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ได้แก่ การขายสินค้า หรือการให้บริการโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรอยู่เป็นปรกติธุรกิจ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะได้รับประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม (มาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร)

               ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเน้นกิจการที่กระทำเป็นสำคัญ ไม่ว่าบุคคลใดก็ตามที่ได้กระทำกิจการตามที่กฎหมายกำหนดในมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ย่อมเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี

      1.1.3 การประกอบกิจการขายสินค้า หรือให้บริการดังกล่าว ต้องเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทยหรือในราชอาจักร

      1.1.4 ผู้ประกอบการทุกรายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเสมอ ไม่ว่าจะได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้มีบทบัญญัติยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร หรือประกอบกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 แห่งประมวลรัษฎากร

1.2 ผู้ประกอบการจดทะเบียน

      ผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85 หรือมาตรา 85/1 แห่งประมวลรัษฎากร หรือที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มชั่วคราว ตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร แล้วเรียกว่า "ผู้ประกอบการจดทะเบียน" (มาตรา 77/1 (6) แห่งประมวลรัษฎากร)

      การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการก่อให้เกิดสิทธิในทางภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ ผู้ประกอบการจดทะเบียน ดังนี้

      1.2.1 สิทธิในการออกใบกำกับภาษีเมื่อได้ขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่า เพิ่ม (มาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร) ผู้ประกอบการจดทะเบียนเท่านั้นที่จะมีสิทธิออกใบกำกับภาษี แต่อย่างไรก็ตาม ลำพังการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะยังไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ประกอบ การจดทะเบียนในอันที่จะออกใบกำกับภาษีได้โดยชอบตามกฎหมาย หากแต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องมีประกอบกิจการขายสินค้า หรือการให้บริการที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่า เพิ่มด้วย จึงจะเกิดสิทธิในการออกใบกำกับภาษีโดยสมบูรณ์

      1.2.2  สิทธิที่จะเรียกเก็บภาษีขาย (มาตรา 82/4 แห่งประมวลรัษฎากร) เมื่อมีสิทธิตามกฎหมายที่จะออกใบกำกับภาษี สำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มได้รับรองสิทธิในการเรียกเก็บภาษีขายจากผู้ซื้อหรือผู้รับบริการของผู้ประกอบการจดทะเบียน ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดการโต้แย้งในระหว่างผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการกับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการว่าหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีเป็นของราชการกรมสรรพากร ซึ่งอาจจะก่อเกิดความวุ่นวายสับสนได้ 

      1.2.3 สิทธิที่จะนำภาษีซื้อไปหักออกจากภาษีขาย (มาตรา 82/3 ประกอบมาตรา 77/1 (18) แห่งประมวลรัษฎากร) สิทธิประการนี้กำหนดให้มีแก่เฉพาะผู้ประกอบการ ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ดังจะสังเกตได้จากบทนิยามศัพท์คำว่า ภาษีซื้อ ตามมาตรา 77/1 (18) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบัญญัติว่า

               ภาษีซื้อ หมายความว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่นเรียกเก็บตามมาตรา 82/4 และให้หมายความรวมถึง

                   (ก) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้เสียเมื่อนำเข้า

                   (ข) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้เสียเนื่องจากได้รับโอนสินค้านำเข้าที่จำแนกประเภทไว้ในภาคว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าพิกัดอัตราศุลกากรตามมาตรา 82/15

                   (ค)  ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้นำส่งตามมาตรา 83/5 มาตรา 83/6 และมาตรา 83/7

               อนึ่ง ภาษีซื้อที่จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มต้องเป็นภาษีซื้อ สำหรับระยะเวลาตั้งแต่ที่ผู้ประกอบการได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นต้นไปเท่านั้น จะนำภาษีซื้อที่เกิดข้อก่อนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมาหักออกจากภาษีขายไม่ได้

      1.2.4 สิทธิที่จะขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะเหตุที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้สิทธินำภาษีซื้อมาเครดิตหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรดังกล่าว ซึ่งผลการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละเดือนภาษีอาจเกิดได้ทั้งในกรณีที่มียอดภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามยอดที่แตกต่างนั้น และกรณีที่ในเดือนภาษีใดมียอดภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ผู้ประกอบการจดทะเบียนย่อมมีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่แตกต่างนั้นตามมาตรา 84 แห่งประมวลรัษฎากร 

      1.2.5 สิทธิที่จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ประกอบการจดทะเบียนจดทะเบียนเท่านั้น สำหรับผู้ประกอบการที่มิได้จดทะเบียนจะไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว ซึ่งอาจได้รับยกเว้นหากมีมูลค่าของฐานภาษีไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี หรืออาจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 7.0 ของราคาสินค้าหรือค่าบริการต่อไป

1.3 ในกรณีผู้ประกอบการเป็นผู้อยู่นอกราชอาณาจักร แต่มีผู้รับผิดชอบในการการประกอบกิจการในราชอาณาจักร ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการประกอบกิจการ รวมตลอดถึง ลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทนซึ่งมีอำนาจในการจัดการแทนโดยตรงหรือโดยปริยายที่อยู่ในราชอาณาจักร เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ร่วมกับผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรนั้นด้วย (มาตรา 82/2 แห่งประมวลรัษฎากร)

1.4 การประกอบกิจการขายสินค้า หรือให้บริการในราชอาณาจักรที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอาจจำแนกตามขนาดของมูลค่าของฐานภาษี หรือรายรับจากการประกอบกิจการ  ดังนี้

      1.4.1 สำหรับการประกอบกิจการระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.
 2542

               (1) กรณีผู้ประกอบการมีมูลค่าของฐานภาษีไม่เกิน 600,000 บาทต่อปี (มูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม) ให้ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (มาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 237) พ.ศ. 2534)

                   อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการดังกล่าวมีสิทธิยื่นแบบ ภ.พ.01 แจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของราคาสินค้า หรือค่าบริการ โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระจาก ยอดภาษีขาย หักด้วยภาษีซื้อ ในแต่ละเดือนภาษี ตามมาตรา 81/3 (2) แห่งประมวลรัษฎากร

               (2) ในกรณีที่ผู้ประกอบการมิได้ใช้สิทธิขอเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตาม (1) ดังกล่าว หากต่อมาในปีใดผู้ประกอบการมีมูลค่าของฐานภาษีต่อปีเกินกว่า 600,000 บาท ผู้ประกอบการนั้น ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษีเกินกว่า 600,000 บาท โดยจะใช้สิทธิเลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (กึ่งเต็มรูปแบบ) ในอัตราร้อยละ 1.5 ของมูลค่าของฐานภาษีในแต่ละเดือนภาษี ตามมาตรา  82/16 แห่งประมวลรัษฎากร  หรือจะเลือกขอเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 7.0 ของราคาสินค้าหรือค่าบริการ โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระจากยอดภาษีขาย หักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษีก็ได้

                   ในระหว่างที่ผู้ประกอบการมีมูลค่าของฐานภาษีต่อปีเกินกว่า 600,000 บาท  แต่ไม่เกิน 1,200,000 บาท ผู้ประกอบการได้ใช้สิทธิเลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ของมูลค่าของฐานภาษีในแต่ละเดือนภาษี ตามมาตรา 82/16 แห่งประมวลรัษฎากร นั้น จะใช้สิทธิแจ้งขอเปลี่ยนไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของราคาสินค้า หรือค่าบริการ โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระจาก ยอดภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษีก็ได้ และเมื่อได้ใช้สิทธิเลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว  ผู้ประกอบการจะขอกลับไปใช้สิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ของมูลค่าของฐานภาษีไม่ได้อีกต่อไป (มาตรา 82/17 แห่งประมวลรัษฎากร) 

               (3) ในกรณีที่ผู้ประกอบการใช้สิทธิเลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ของมูลค่าของฐานภาษีในแต่ละเดือนภาษี ตาม (2) ดังกล่าว หากต่อมาในปีใดผู้ประกอบการมีมูลค่าของฐานภาษีเกินกว่า 1,200,000 บาท ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบ ภ.พ.09 ขอเปลี่ยนแปลงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 10 ภายใน 15 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษีเกินกว่า 1,200,000 บาท (มาตรา 82/18 แห่งประมวลรัษฎากร)

               (4) กรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 หรือร้อยละ 7.0 ประสงค์จะถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นๆ มีมูลค่าของฐานภาษีต่อปีไม่เกิน 600,000 บาท ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี (มาตรา 85/10 แห่งประมวลรัษฎากร)  

      1.4.2 สำหรับการประกอบกิจการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2548

               (1) ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมาลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 354) พ.ศ. 2542 ยกเลิกพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 237) พ.ศ. 2534 และขยายมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมมูลค่าของฐานภาษีต่อปีไม่เกิน 600,000 บาท เป็นมูลค่าของฐานภาษีต่อปีไม่เกิน 1,200,000 บาท

              (2) ผลของพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับดังกล่าว ทำให้การประกอบกิจการที่มีมูลค่าของฐานภาษีต่อปีไม่เกิน 1,200,000 บาท ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีมูลค่าของฐานภาษีต่อปีเกินกว่า 600,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,200,000 บาท ซึ่งเลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ของมูลค่าของฐานภาษี ก็ได้สิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการประกอบการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 เป็นต้นไป ด้วยเช่นเดียวกัน

               (3) ในปีภาษีใดที่ผู้ประกอบการมีมูลค่าของฐานภาษีต่อปีเกินกว่า 1,200,000 บาท ผู้ประกอบการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษีเกินกว่า 1,200,000 บาท โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระจากยอดภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ ในแต่ละเดือนภาษี  

      1.4.3 สำหรับการประกอบกิจการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป

               (1) ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 432) พ.ศ. 2548 ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ยกเลิกพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 354) พ.ศ. 2542 และขยายมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมมูลค่าของฐานภาษีต่อปีไม่เกิน 1,200,000 บาท เป็นต่อปีไม่เกิน 1,800,000 บาทต่อปี  

               (2) กรณีที่ในปีใดที่ผู้ประกอบการมีมูลค่าของฐานภาษีต่อปีเกินกว่า 1,800,000 บาท ผู้ประกอบการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษีเกินกว่า 1,800,000 บาท โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระจากยอดภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ ในแต่ละเดือนภาษี  

      1.4.4 กรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียน ซึ่งเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ประสงค์จะถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นๆ มีมูลค่าของฐานภาษีต่อปีไม่เกิน 1,800,000 บาท ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี (มาตรา 85/10 แห่งประมวลรัษฎากร)       

 

หมายเหตุ

1.  คำว่า "ปี" หมายความว่า

     (1) ในกรณีที่ผู้ประกอบการเป็นบุคคลธรรมดา  หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลให้นับตามปีปฏิทิน (ประดิทิน) เว้นแต่ในกรณีที่เริ่มประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เริ่มนับตั้งแต่วันเริ่มประกอบกิจการถึงวันสิ้นปีปฏิทิน

     (2) ในกรณีที่ผู้ประกอบการเป็นนิติบุคคล ให้นับตามรอบระยะเวลาบัญชี เว้นแต่ในกรณีที่เริ่มประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เริ่มนับตั้งแต่วันเริ่มประกอบกิจการถึงวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี (มาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 237))

2. คำว่า “ประเทศไทยหรือราชอาณาจักร” หมายความว่า

   (1) เขตภาคพื้นทวีปที่เป็นอาณาเขตของประเทศไทย และทะเลอาณาเขต

   (2) เขตไหล่ทวีปที่เป็นสิทธิของประเทศไทย ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไป ซึ่งได้แก่ เขตไหล่ทวีปตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยวัตจากจุดที่น้ำทะเลลงต่ำสุดออกไป 12 ไมล์ทะเล

   (3) เขตไหล่ทวีปตามความตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ เขตเศรษฐกิจเฉพาะ โดยวัดจากจุดที่น้ำทะเลลงต่ำสุดออกไป 200 ไมล์ทะเล (มาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร)

 

2. ผู้นำเข้า

ตามมาตรา 77/1 (11) แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดนิยามศัพท์คำว่า “ผู้นำเข้า” และ “นำเข้า” ดังต่อไปนี้  

"(11) "ผู้นำเข้า" หมายความว่า ผู้ประกอบการหรือบุคคลอื่นซึ่งนำเข้า   

(12) "นำเข้า" หมายความว่า นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และให้หมายความรวมถึงการนำสินค้าที่ต้องเสียภาษีอากรขาเข้า หรือที่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรออกจากเขตปลอดอากรโดยมิใช่เพื่อส่งออกด้วย”

จากบทบัญญัติดังกล่าวอาจจำแนกผู้นำเข้าได้ดังนี้

2.1 ในการนำสินค้าเฉพาะสินค้าที่มีรูปร่าง ที่ต้องเสียอากรขาเข้า ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร เข้ามาจากต่างประเทศ หรือการนำสินค้าที่ต้องเสียภาษีอากรขาเข้า หรือที่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรออกจากเขตปลอดอากรโดยมิใช่เพื่อส่งออก ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้นำเข้าจะเป็นผู้ประกอบการ หรือบุคคลอื่นใดก็ตาม มีหน้าที่ต้องยื่นใบขนสินค้าขาเข้าตามแบบที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ณ ด่านศุลกากรตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของฐานภาษีจากการนำเข้า ต่อเจ้าพนักงานศุลกากร พร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามมาตรา 83/8 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร  

2.2 สำหรับผู้นำเข้าที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนสามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้จ่ายตามหลักฐานใบเสร็จรับเงินของกรมศุลกากร มาถือเป็นภาษีซื้อตามมาตรา 77/1 (18) แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระในเดือนที่ได้จ่ายค่าภาษีมูลค่าเพิ่มไปดังกล่าว

2.3 ในกรณีผู้บริโภคเป็นผู้นำเข้า ผู้บริโภคย่อมตกเป็นผู้รับภาระภาษีมูลค่าเพื่ออันได้จ่ายไปนั้น

 

3. ผู้ที่กฎหมายให้ถือว่ามีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้บุคคลดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย (มาตรา 82/1 แห่งประมวลรัษฎากร)

3.1 ในกรณีที่ผู้ประกอบการอยู่นอกราชอาณาจักร และได้ขายสินค้าหรือให้บริการในราช อาณาจักรเป็นปกติธุระ โดยมีตัวแทนอยู่ในราชอาณาจักร  ให้ตัวแทนดังกล่าว เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ร่วมกับผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรนั้น) ด้วย

3.2 ในกรณีการขายสินค้า หรือการให้บริการที่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(5)  แห่งประมวลรัษฎากร ถ้าภายหลังได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในบริการนี้ ไปให้กับบุคคลที่มิใช่องค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ  สถานเอกอัครราชทูต สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล ให้ผู้รับโอนสินค้าหรือสิทธิในบริการดังกล่าว เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย

     กรณีนี้เป็นกรณีที่กฎหมายเปลี่ยนตัวผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากองค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ  สถานเอกอัครราชทูต  สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล ซึ่งโดยทั่วไปได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร เป็นผู้รับโอนสินค้าดังกล่าว

3.3 ในกรณีสินค้านำเข้า ที่จำแนกประเภทไว้ในภาคว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ถ้าภายหลังสินค้านั้นต้องเสียอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ให้บุคคลดังต่อไปนี้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย

      3.3.1 ผู้ที่มีความรับผิดตามกฎมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร

      3.3.2 ผู้รับโอนสินค้า ในกรณีที่มีการโอนสินค้าดังกล่าว

      กรณีรับโอนสินค้าตาม 3.3.2  ถือเป็นกรณีที่กฎหมายเปลี่ยนตัวผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกับกรณีตามข้อ 3.2 ข้างต้น

3.4 ในกรณีที่มีการควบเข้ากัน ให้ผู้ที่ควบเข้ากันและผู้ประกอบการใหม่เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย 

      ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นนิติบุคคลใดประสงค์จะควบเข้ากัน ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้น แจ้งการเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 แห่งประมวลรัษฎากร ตามแบบ ภ.พ.09 และให้นิติบุคคลใหม่ซึ่งได้ควบเข้ากันยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม  ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ (มาตรา 85/14 แห่งประมวลรัษฎากร)

3.5  ในกรณีโอนกิจการ ให้ผู้โอนและผู้รับโอนเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย

      ผู้ประกอบกาจดทะเบียนใด ประสงค์จะโอนกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นแจ้งการโอนกิจการ และการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้ามี หรือแจ้งการโอนและแจ้งการเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี ตามแบบ ภ.พ.09 ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ ก่อนวันโอนกิจการไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน

      ในกรณีที่ผู้รับโอนกิจการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้ผู้รับโอนแจ้งการรับโอนกิจการ และการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้ามี ณ สถานที่ที่ผู้รับโอนได้จะทะเบียนภาษีมูลค่า เพิ่มไว้ไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันรับโอนกิจการ และในกรณีที่ผู้รับโอนไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้ผู้รับโอนยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันรับโอนกิจการ และเมื่อได้ยื่นคำขอแล้วให้ผู้รับโอนประกอบกิจการดังกล่าวต่อเนื่องไปพลางก่อนได้

      ในกรณีที่โอนกิจการทั้งหมด ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เลิกกิจการคืนใบทะเบียนภาษี มูลค่าเพิ่ม ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ พร้อมกับการแจ้งเลิกประกอบกิจการ (มาตรา 85/14 แห่งประมวลรัษฎากร)

 

4. ผู้ที่ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ และใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย  

ตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย บุคคลนั้นต้องรับผิดในภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่ปรากฏในใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้นั้นเสมือนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และให้ผู้ที่ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย นั้น ต้องรับผิดในภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่ปรากฏในใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้นั้นเสมือนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน

จากบทบัญญัติดังกล่าวอาจจำแนกผู้ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ และใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมายได้ดังนี้     

4.1 ผู้ที่ไม่มีสิทธิที่จะอออใบกำกับภาษี  

      ตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดห้ามมิให้บุคคลซึ่งมิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือมิใช่ผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีได้ตามหมวดนี้ ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้

      กรณีที่บุคคลใดออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย บุคคลนั้นต้องรับผิดในภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่ปรากฏในใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้นั้นเสมือนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน

      4.1.1 ผู้ประกอบการที่มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่มิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 85 หรือมาตรา 85/1 หรือที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มชั่วคราว ตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร

      4.1.2 ผู้ประกอบการจดทะเบียนดังต่อไปนี้ห้ามออกใบกำกับภาษี ทั้งนี้ ตามมาตรา 86/1 แห่งประมวลรัษฎากร)

             (1) ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่อยู่นอกราชอาณาจักร และได้ให้ตัวแทนของตนออกใบกำกับภาษีแทนตนตามมาตรา 86/2 แห่งประมวลรัษฎากร

             (2) ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ทรัพย์สินถูกนำออกขายทอดตลาด หรือขายโดยวิธีอื่น โดยบุคคลอื่นตามมาตรา 83/5 แห่งประมวลรัษฎากร

             (3) ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 83/6 (3) แห่งประมวลรัษฎากร  

      4.1.3 ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีในกรณีดังต่อไปนี้ ถือว่า เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย

             (1) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการซ้ำกับใบกำกับภาษีฉบับเดิมที่ออกใบลดหนี้ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขตามมาตรา 82/10 แห่งประมวลรัษฎากร

             (2) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม  

             (3) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปภายหลังวันที่เกิดความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม  

             (4) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแทนใบกำกับภาษีอย่างย่อภายหลังวันที่ออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ

             (5) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีกิจกรรมการขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มรองรับ (ใบกำกับปลอม)

             (6) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ระบุรายการสินค้าหรือบริการที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง (ใบกำกับปลอม)

             (7) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ระบุชื่อผู้ซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นเท็จ (ใบกำกับปลอม)  

             (8) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีสำหรับขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ระบุจำนวนมูลค่าของสินค้าหรือบริการ และจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริงโดยทุจริต (ใบกำกับปลอม)

      4.1.4 ผู้ประกอบการดังต่อไปนี้ ออกใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย

             (1) ผู้ประกอบการที่มิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน

             (2) ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขตามมาตรา 82/9 หรือมาตรา 82/10 แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี  

      4.1.5 กรณีที่บุคคลใดออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย บุคคลนั้นต้องรับผิดในภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่ปรากฏในใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้นั้นเสมือนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว ยังต้องรับผิดเบี้ยปรับ และระวางโทษทางอาญาดังต่อไปนี้

             (1)  ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้นั้น ตามมาตรา 89 (6) แห่งประมวลรัษฎากร 

             (2)  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท ตามมาตรา 90/4 (3) แห่งประมวลรัษฎากร