ภาษีมูลค่าเพิ่ม: ความหมาย และประเภท
บทความวันที่ 8 ม.ค. 2566 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 774 ครั้ง
บทความวันที่ 8 ม.ค. 2566 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 774 ครั้ง
ภาษีมูลค่าเพิ่ม: ความหมาย
และประเภท
ในการเริ่มต้นศึกษา ภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างเป็นระบบ พึงทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำวา "มูลค่าเพิ่ม" (Value Added) และประเภทภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำมาใช้บริหารจัดเก็บ เสียก่อน เพื่อเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจเบี้องต้น ที่จะช่วยเติมเต็มให้ผู้ศึกษามีความชัดเจนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำมาใช้ในการบริหารจัดเก็บในประเทศไทย
1. คำว่า “มูลค่าเพิ่ม” (Value Added)
คำว่า “มูลค่าเพิ่ม”
(Value Added) หมายถึง
มูลค่าของสินค้าหรือบริการในส่วนที่เพิ่มขึ้น
ในแต่ละขั้นตอนการขายสินค้าหรือการให้บริการ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “มูลค่าเพิ่ม” หมายถึง ผลต่างของต้นทุนของสินค้าหรือบริการ
กับราคาสินค้าที่ขายหรือค่าบริการที่ได้ให้แก่ลูกค้า ผลต่างดังกล่าว ได้แก่
- ค่าจ้าง
- ค่าเช่า
- ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
และ
- ผลกำไร
ดังนั้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม
จึงหมายถึง ภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นของสินค้าหรือบริการ
ในทุกขั้นตอนของการขายสินค้าหรือการให้บริการเฉพาะในส่วนที่ยังไม่ผ่านการเสียภาษีมูลค่า
เพิ่มมาก่อน
1.1 ในแง่ของผู้ประกอบการแต่ละราย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นของสินค้าหรือบริการ
ในแต่ละขั้นตอนของการขายสินค้าหรือการให้บริการ
เฉพาะในส่วนที่ยังไม่ผ่านการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน
1.2 ในแง่ของผู้บริโภค
เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มมุ่งหมายที่จะจัดเก็บจากการบริโภค
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้บริโภคต้องรับภาระจากการบริโภคสินค้าหรือการรับบริการในแต่ละหน่วย
จึงเท่ากับจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการแต่ละรายได้จ่ายสำหรับสินค้าหรือบริการแต่ละหน่วยนั้นรวมกัน
ดังนั้น
แม้ภาษีมูลค่าเพิ่มจะมุ่งหมายที่จะจัดเก็บจากการบริโภคสินค้าหรือการให้บริการ
แต่คำว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม
เป็นคำที่ใช้สำหรับจัดเก็บจากผู้ประกอบการที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือผู้บริการ
จึงย่อมเกิดความสับสนในหลักการ (Principle) และชื่อเรียก (Title) ระบบภาษีนี้อยู่เนือง ๆ
2. ประเภทของภาษีมูลค่าเพิ่ม
โดยทั่วไปภาษีมูลค่าเพิ่มแบ่งออกเป็น
3 ประเภทตามลักษณะของฐานภาษี ดังนี้
2.1 ภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น
(Gross
National Product Type VAT หรือ GNP Type VAT)
เป็นระบบภาษีที่มุ่งจัดเก็บจากผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น
โดยจัดเก็บจากการบริโภคของประชาชน และจากการลงทุนของผู้ประกอบการ
ไม่ยอมให้ผู้ประกอบการนำภาษีมูลค่า เพิ่มจากการลงทุนในทรัพย์สิน
หรือรายจ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหลาย (ภาษีซื้อ)
มาเครดิตหักออกจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการได้เรียกเก็บจากการขายสินค้าหรือให้บริการ
(ภาษีขาย) และไม่ยอมให้หักค่าสึกหรอและค่าเลื่อมราคาสำหรับสินค้าทุน
2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ
(Net
National Product Type VAT หรือ NNP Type VAT)
เป็นระบบภาษีที่มุ่งจัดเก็บจากผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ
โดยจัดเก็บจากการบริโภคของประชาชน และจากการลงทุนของผู้ประกอบการ
เช่นเดียวกับภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น
แต่ยอมให้ผู้ประกอบการหักค่าสึกหรอและค่าเลื่อมราคาสำหรับสินค้าทุน
2.3 ภาษีมูลค่าเพิ่มตามฐานการบริโภค (Consumption Type VAT) เป็นระบบภาษีที่มุ่งจัดเก็บจากการบริโภค โดยไม่จัดเก็บจากการลงทุน จึงยอมให้ผู้ประกอบการนำภาษีมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนในทรัพย์สิน หรือรายจ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหลาย (ภาษีซื้อ) มาเครดิตหักออกจากภาษีมูลค่า เพิ่มที่ผู้ประกอบการได้เรียกเก็บจากการขายสินค้าหรือให้บริการ (ภาษีขาย)
ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลไทยนำมาใช้บังคับจัดเก็บแทนที่ระบบภาษีการค้า
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นต้นมานั้น
เป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแบบการบริโภค (Consumption
Type VAT) ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนในฐานะผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายได้รับประโยชน์จากระบบสูงสุด
อันเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่นิยมในมาประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกันทั่วโลก
โดยหลักการทั่วไปมีความมุ่งหมายที่จะให้ภาระภาษีมูลค่าเพิ่มตกต้องแก่ผู้บริโภค
เท่ากับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7.0
ของราคาสินค้าหรือค่าบริการที่ผู้บริโภคได้ซื้อหรือรับบริการเพื่อการบริโภคนั้น
คำว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Value Added Tax โดยใช้คำย่อว่า VAT ซึ่งในบางประเทศ เช่น แคนาดา
นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ เป็นต้น ใช้คำว่า Goods and Service Tax (GST) หรือ ภาษีสินค้าหรือบริการ สำหรับประเทศญี่ปุ่นใช้คำว่า Consumption
Tax หรือภาษีการบริโภค ซึ่งแตกต่างไปจาก ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ที่ใช้ในการบริหารการจัดเก็บในประเทศไทย