ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

การเสียภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีดอกบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมกรรมการ

บทความวันที่ 17 เม.ย. 2566  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 511 ครั้ง


การเสียภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีดอกบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมกรรมการ


        กรณีบริษัทฯ มีเงินให้กู้ยืมกรรมการโดยไม่คิดดอกเบี้ย (ทางบัญชีไม่บันทึกดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยค้างรับ) โดยได้คำนวณและบวกเป็นรายได้เพิ่มในแบบ ภ.ง.ด.50 แล้วตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีค่าตอบแทน

        จากข้อเท็จจริงบริษัทฯ จะไม่มีการรับเงินดอกเบี้ยดังกล่าว ถ้าอ้างอิงจากมาตรา 91/8 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกใช้เกณฑ์เงินสดหรือเกณฑ์คงค้างก็ได้ โดยเมื่อเลือกแล้วให้ใช้เกณฑ์นั้นตลอดไป กรณีนี้เมื่อบริษัทฯ จะไม่มีการรับเงินจากดอกเบี้ย จะถือเป็นการเลือกวิธีเกณฑ์คงค้างซึ่งบริษัทฯ ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ถูกต้องหรือไม่ 

        แต่หากบริษัทฯ ยังคงต้องรับผิดยื่นแบบ ภ.ธ.40 ต้องยื่น ณ เดือนไหนคะ อ้างอิงหลักเกณฑ์หรือบทบัญญัติมาตราใด


1. ตามมาตรา 91/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดนิยามศัพท์คำว่า “รายรับ” ไว้ดังนี้

        “มาตรา 91/1 ในหมวดนี้

             (1) “รายรับ” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน หรือ ประโยชน์ใด ๆ อันมีมูลค่าที่ได้รับหรือพึงได้รับ ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรอันเนื่องมาจากการประกอบกิจการ

              (2) “มูลค่า” หมายความว่า ราคาตลาดของทรัพย์สิน ของกิจการ ของค่าตอบแทนหรือของประโยชน์ใด ๆ

              (3) “ราคาตลาด” หมายความว่า ราคาที่ซื้อขายกันหรือที่คิดค่าบริการกันตามความเป็นจริงทั่วไปในขณะใดขณะหนึ่ง

                   ในกรณีที่ราคาตลาดมีหลายราคาหรือไม่อาจทราบราคาตลาดได้แน่นอน ให้อธิบดี โดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศใช้เกณฑ์คำนวณเพื่อให้ได้ราคาตลาดเป็นมูลค่าของสินค้าหรือบริการได้” 


2. ตามมาตรา 91/2 (5) แห่งประมวลรัษฎากร

        กำหนดให้การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ เช่น การให้กู้ยืมเงิน ค้ำประกัน แลกเปลี่ยนเงินตรา ออก ซื้อ หรือขายตั๋วเงิน หรือรับส่งเงินไปต่างประเทศด้วยวิธีต่าง ๆ เป็นการประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

3. มาตรา 91/3 (7) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 3 (32) และ (33) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ 240) พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 571) พ.ศ. 2556 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.  2556 เป็นต้นไป กำหนดให้ ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการดังต่อไปนี้

        “มาตรา 3  ให้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการดังต่อไปนี้

             (32) กิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา 91/2 (5) แห่งประมวลรัษฎากรของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมิได้ประกอบกิจการตามมาตรา 91/2 (1)(2) และ (3) แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับ เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้

                  (ก) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้กู้ยืมเงินกันเอง "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน" หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจำนวนตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไป ซึ่งมีความสัมพันธ์กันโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอีกแห่งหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือนก่อนวันที่มีการกู้ยืม โดยให้นับระยะเวลาของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมอันได้ควบเข้ากัน หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมผู้โอนกิจการทั้งหมดรวมด้วย 

                   (ข) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลฝากเงินไว้กับสถาบันการเงินหรือซื้อตั๋วเงินที่ออกโดยสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน โดยได้รับดอกเบี้ยตามอัตราปกติ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป" 

             (33) กิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนสะสมพนักงานหรือทุนอื่นใดเพื่อพนักงาน สำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับจากการนำเงินกองทุนหรือทุนอื่นใดออกให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกู้ยืม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป”


4. ตามมาตรา 91/8 แห่งประมวลรัษฎากร

        “มาตรา 91/8 ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะเสียภาษีโดยคำนวณจากฐานภาษีตามมาตรา 91/5 ในเดือนภาษีของผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามอัตราภาษีที่กำหนดไว้ตามมาตรา 91/6 แต่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีสิทธิอุทธรณ์การประเมินภาษีตามบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์ในส่วน 2 หมวด 2 ลักษณะ 2

             การคำนวณรายรับตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชี และเพื่อประโยชน์ในการคำนวณรายรับ เมื่อได้เลือกปฏิบัติเป็นอย่างใดแล้วให้ถือปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนแปลงได้

(ดู คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 75/2541 )

             ความในวรรคหนึ่งและวรรคสอง มิให้ใช้บังคับแก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 91/2(6) และให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีกรณีดังกล่าวเสียภาษีโดยคำนวณจากฐานภาษีตามมาตรา 91/5(6) ในขณะที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น ตามอัตราภาษีที่กำหนดไว้ในมาตรา 91/6 รวมทั้งมีสิทธิอุทธรณ์การประเมินภาษีตามบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์ในส่วน 2 หมวด 2 ลักษณะ 2"


5. ตามมาตรา 91/15 (2) และมาตรา 91/16 (6) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดอำนาจเจ้าพนักงานประเมินในการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม กรณีให้กู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย หรือคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร

        “มาตรา 91/15 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามหมวดนี้ ในเมื่อ

             (1) ปรากฏแก่เจ้าพนักงานประเมินว่าผู้มีหน้าที่เสียภาษีมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด

             (2) ในกรณีเจ้าพนักงานประเมินมีหลักฐานแสดงว่า ผู้มีหน้าที่เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาดทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป หรือ

             (3) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนผู้ประกอบกิจการ ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมิน หรือไม่ยอมตอบคำถามของเจ้าพนักงานประเมินโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานเพื่อการคำนวณภาษี

        มาตรา 91/16 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 91/15 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจ

             (1) จัดทำรายการลงในแบบแสดงรายการตามหลักฐานที่เห็นว่าถูกต้อง เมื่อผู้ประกอบกิจการมิได้ยื่นแบบแสดงรายการ

             (2) แก้ไขเพิ่มเติมรายการในแบบแสดงรายการหรือในเอกสารอื่นประกอบแบบแสดงรายการเพื่อให้ถูกต้อง

             (3) กำหนดราคาขายสินค้าโดยเทียบเคียงกับราคาขายในวันเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันของสินค้าประเภทหรือชนิดเดียวกันตามราคาตลาดที่อาจเทียบเคียงกันได้

             (4) กำหนดดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ กำไรก่อนหักรายจ่ายใดๆ จากการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายเงินตราการออกตั๋วเงิน หรือการส่งเงินไปต่างประเทศตามราคาตลาดที่อาจเทียบเคียงได้

             (5) กำหนดรายรับซึ่งผู้ประกอบกิจการควรได้รับ เพราะผู้ประกอบกิจการกับผู้ซื้อมีการควบคุมหรือความสัมพันธ์กันในด้านทุนหรือด้านการจัดการ

             (6) กำหนดดอกเบี้ย ราคาทรัพย์สิน หรือค่าบริการ ตามราคาตลาดในวันให้กู้ยืมเงิน วันที่โอนหรือให้บริการ ในกรณีที่การให้กู้ยืมเงิน การโอนทรัพย์สิน หรือการให้บริการนั้นไม่มีดอกเบี้ย ค่าตอบแทน หรือค่าบริการ หรือมีดอกเบี้ย ค่าตอบแทน หรือค่าบริการต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร

            (7) กำหนดรายรับโดยพิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่หรือพฤติการณ์ของผู้ประกอบกิจการ หรือสถิติการค้าของผู้ประกอบกิจการเองหรือของผู้ประกอบกิจการอื่นที่กระทำกิจการทำนองเดียวกัน หรือพิจารณาจากหลักเกณฑ์อย่าง อื่นอันอาจแสดงรายรับได้โดยสมควร

             (8) ประเมินภาษีตามที่รู้เห็นหรือพิจารณาว่าถูกต้อง เมื่อมีกรณีตามมาตรา 91/15 (3) โดยไม่ต้องปฏิบัติตาม (1) ถึง (7) ก็ได้

 

        กรณีบริษัทฯ มีเงินให้กรรมการกู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย (ทางบัญชีไม่บันทึกดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยค้างรับ) โดยได้คำนวณและบวกเป็นรายได้เพิ่มในแบบ ภ.ง.ด.50 แล้วตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีค่าตอบแทน

        จากข้อเท็จจริง แม้บริษัทฯ จะไม่มีการรับเงินดอกเบี้ยดังกล่าว แต่ตามนิยามศัพท์คำว่า “รายรับ” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน หรือ ประโยชน์ใด ๆ อันมีมูลค่าที่ได้รับหรือพึงได้รับ ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรอันเนื่องมาจากการประกอบกิจการ

        ดังจะเห็นได้ว่า รายรับรวมความถึง “ประโยชน์ใด ๆ อันมีมูลค่าที่พึงได้รับ” ด้วย นั่นย่อมหมายความว่า นอกจากเกณฑ์สิทธิแล้ว ยังรวมถึงกรณีที่แม้ผู้ประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจะไม่ได้รับเงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน หรือ ประโยชน์ใด ๆ อันมีมูลค่า เพียงแต่พึงได้รับก็ถือเป็น “รายรับ” จากการประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วยเช่นกัน

        ยิ่งเป็นกรณีที่บริษัทฯ คำนวณดอกเบี้ยและบวกเป็นรายได้เพิ่มในแบบ ภ.ง.ด.50 ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว ในทางภาษีธุรกิจเฉพาะก็มีบทบัญญัติในลักษณะทำนองเดียวกัน คือ มาตรา 91/15 (2) และมาตรา 91/16 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับนิยามศัพท์คำว่า “รายรับ” ตามมาตรา 91/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ย่อมถือได้ว่า บริษัทฯ มีรายรับดอกเบี้ยที่บริษัทฯ พึงได้รับที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ  

        กรณีไม่สามารถอ้างอิงบทบัญญัติมาตรา 91/8 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกใช้เกณฑ์เงินสดหรือเกณฑ์คงค้างก็ได้ โดยเมื่อเลือกแล้วให้ใช้เกณฑ์นั้นตลอดไป นั้น ให้ปรับใช้กับเฉพาะกรณีผู้ประกอบกิจการได้รับรายได้จากการประกอบกิจการอย่างแท้จริง อันเป็นหลักกฎหมายทั่วไป เช่นนี้ แม้บริษัทฯ จะไม่มีการรับเงินจากดอกเบี้ย ก็ยังคงต้องถือว่า บริษัทฯ มีรายรับที่ “พึงได้รับ” ซึ่งบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากรายรับดอกเบี้ยที่พึงได้รับนั้นด้วย ความเห็นที่ว่า “กรณีนี้เมื่อบริษัทฯ จะไม่มีการรับเงินจากดอกเบี้ย จะถือเป็นการเลือกวิธีเกณฑ์คงค้างซึ่งบริษัทฯ ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ” จึงยังไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษีอากร

    ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องรับผิดเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากรายรับที่พึงได้รับ โดยถือเป็นรายรับในเดือนภาษีสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ ภ.ธ.40 ในวันนที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี