ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

การคำนวณเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร (2)

บทความวันที่ 13 พ.ย. 2568  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 44 ครั้ง

การคำนวณเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร (2)

 

ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร

"มาตรา 67 ตรี ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่ยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ (1) หรือยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ (1) โดยแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธ ิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น โดยไม่มีเหตุอันสมควร บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 67 ทวิ (1) หรือของกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือของภาษีที่ชำระขาด แล้วแต่กรณี

         ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่ยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ (2) หรือยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ (2) ไว้ไม่ถูกต้อง โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องชำระขาดไป บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 67 ทวิ (2) หรือของภาษีที่ชำระขาด แล้วแต่กรณี

         เงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้ถือเป็นค่าภาษีและอาจลดลงได้ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี"

จากบทบัญญัติดังกล่าว อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้

1. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่ยื่นรายการและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีตามมาตรา 67 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยเสียภาษีจากกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี อาจต้องรับผิดเสียเงินเพิ่ม ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ในแต่ละกรณี ดังนี้

    (1) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่ยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ว่าจะยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับปกติ หรือฉบับยื่นเพิ่มเติม ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระตามแบบ ภ.ง.ด.51 ตามมาตรา 67 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร

    (2) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น โดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือของภาษีที่ชำระขาด

2. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ดังต่อไปนี้

        (1) บริษัทจดทะเบียน

        (2) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ หรือ

        (3) บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ หรือ

        (4) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด

        ที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการ  ภ.ง.ด.51 และชำระภาษีจากกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ตามมาตรา 67 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร อาจต้องรับผิดเสียเงินเพิ่ม ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ในแต่ละกรณี ดังนี้

        (1) กรณีไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 หรือยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ล่าช้า ไม่ว่าจะยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับปกติ หรือฉบับยื่นเพิ่มเติม ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระตามแบบ ภ.ง.ด.51 ตามมาตรา 67 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร

        (2) ยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ไว้ไม่ถูกต้อง โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องชำระขาดไป บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 67 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร  หรือของภาษีที่ชำระขาด แล้วแต่กรณี

2. ตามบทบัญญัติดังต่อไปนี้ กำหนดให้นำจำนวนภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย ไปถือเป้นเครดิตในการคำนวณคำนวณภาษีของผู้ถูกหัก ณ ที่จ่ายนั้น  ดังนี้

    (1) ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด ซึ่งได้ถูกผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 144 (พ.ศ. 2522) และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ให้ถือว่าเงินภาษีที่ได้หักและนำส่งตามความในมาตรา 50 มาตรา 52 และมาตรา 53 แห่งประมวลรัษฎากร และให้ถือว่าจำนวนเงินภาษีที่หักและนำส่งไว้นั้น ให้ถือเป็นเครดิตของผู้ต้องเสียภาษีในการคำนวณภาษีของผู้ถูกหัก ณ ที่จ่ายนั้น 

    (2) ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด ซึ่งได้ถูกรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่น ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร คำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ของเงินได้ที่ได้รับ นำจำนวนภาษีที่หักไว้นี้ให้ไปถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามรอบระยะเวลาบัญชีที่หักไว้นั้น...

    (3) ตามมาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งถูกคำนวณหักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ของเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และนำส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน ในขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติบกรรม นำจำนวนภาษีที่หักและนำส่งไว้ นั้น ไปถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ถูกหักภาษีตามรอบระยะเวลาบัญชีที่หักไว้นั้น

3. แต่ตามวิธีกรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด.51) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 ในส่วนของการคำนวณเงินเพิ่ม ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่นำภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตาม 5.(1) มาหัก ดังนี้

https://www.rd.go.th/.../tax_pdf/cit/2565/Ins51_100565.pdf

"5. หัก

     (1) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีที่บุคคลอื่นเสียแทน ให้กรอกจำ นวนเงินภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่ถูกหักไว้และที่บุคคลอื่นเสียแทนตามมาตรา 3 เตรส 69 ทวิ 69 ตรี และ 65 จัตวา แห่งประมวลรัษฎากร ตามหลักฐานที่ถูกหักไว้หรือที่บุคคลอื่นเสียแทนในรอบระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น

     (2) ภาษีในส่วนที่ได้รับการลดหย่อนอัตราไม่เกินร้อยละ 50 ของอัตราปกติให้กรอกจำนวนเงินภาษีที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของอัตราปกติ กรณีได้รับการส่งเสริมการลงทุน

     (3) ภาษีที่ชำระแล้วตามแบบ ภ.ง.ด.51 (กรณียื่นเพิ่มเติม) ให้กรอกจำ นวนเงินภาษีที่ชำ ระไว้แล้วตามรายการที่ (2.6) ของแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับก่อนของรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกัน

6. คงเหลือภาษีที่  ชำระเพิ่มเติม  ชำระไว้เกิน

7. บวกเงินเพิ่ม (ถ้ามี) มาตรา 27 มาตรา 67 ตรี

    7.1 คำนวณเงินเพิ่มตามมาตรา 27 (กรณีที่ไม่ได้คำนวณเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี) ให้ใส่เครื่องหมาย “/” ลงในช่อง “” มาตรา 27

          ในกรณียื่นแบบ ภ.ง.ด.51 และชำระภาษีไว้ไม่ถูกต้องมีภาษีชำระไว้ขาดจะต้องชำระภาษีและเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน (เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน) ของภาษีที่ชำระตาม 6.

    7.2 คำนวณเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี ให้ใส่เครื่องหมาย “/” ลงในช่อง “” มาตรา 67 ตรี ในกรณีต่อไปนี้

          7.2.1 ไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 และมีภาษีต้องชำระตามมาตรา 67 ทวิ (1) (2) หรือ

          7.2.2 ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 และชำระภาษีเกินกำหนดเวลาตามมาตรา 67 ทวิ (1) (2) หรือ

          7.2.3 ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 และชำระภาษีภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 67 ทวิ (1) แต่แสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือ

          7.2.4 ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 และชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ (2) ไว้ไม่ถูกต้องโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทำให้มีภาษีชำระไว้ขาด

          กรณี 7.2.1 – 7.2.4 จะต้องชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 20 โดยคำนวณจากภาษีที่คำนวณได้ตาม 4. หักด้วย 5. (2) ภาษีในส่วนที่ได้รับการลดหย่อนอัตราไม่เกินร้อยละ 50 ของอัตราปกติ และ (3) ภาษีที่ชำระแล้วตามแบบ ภ.ง.ด.51 (กรณียื่นเพิ่มเติม) โดยไม่นำภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตาม 5.(1) มาหัก ซึ่งเงินเพิ่มดังกล่าวลดได้ตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด (ได้แก่ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542ฯ )

คำเตือน

1. กรณียื่นรายการและชำระภาษีจากประมาณการกำไรสุทธิโดยแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น โดยไม่มีเหตุอันสมควรต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ชำระไว้ขาด

2. กรณียื่นรายการและชำระภาษีจากกำไรสุทธิจริง โดยยื่นรายการและชำระภาษีไว้ไม่ถูกต้องโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องชำระขาดไป ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ชำระไว้ขาด

3. กรณีไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 หรือไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาและมีภาษีต้องเสีย ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของเงินภาษีที่ต้องชำระ

4. กรณีไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 หรือไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาเว้นแต่จะแสดงว่าได้มีเหตุสุดวิสัย ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาทอีกด้วย

5. เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 พร้อมยื่นบัญชีโดยมีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตหรือผู้สอบบัญชีภาษีอากร แล้วแต่กรณี ตรวจสอบและรับรอง ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับชำระภาษี (ถ้ามี) โดยนำภาษีที่ชำระไว้ตาม ภ.ง.ด.51 มาหักออกก่อน

ดังจะเห็นได้ว่า ตามแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากรตามที่ปรากฏในคำอธิบายวิธีกรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด.51) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 ดังกล่าวกำหนดว่า "กรณี 7.2.1 – 7.2.4 จะต้องชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 20 โดยคำนวณจากภาษีที่คำนวณได้ตาม 4. หักด้วย 5. (2) ภาษีในส่วนที่ได้รับการลดหย่อนอัตราไม่เกินร้อยละ 50 ของอัตราปกติ และ (3) ภาษีที่ชำระแล้วตามแบบ ภ.ง.ด.51 (กรณียื่นเพิ่มเติม) โดยไม่นำภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตาม 5.(1) มาหัก..." นั้น แนวทางปฏิบัติดังกล่าว ใช้ได้แต่เพียงเฉพาะกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิประจำรอบระยะเวลาบัญชี โดยไม่มีเหตุอันสมควร เท่านั้น ที่กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น โดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือของภาษีที่ชำระขาด

    ในส่วนของกรณีอื่นๆ นั้น การที่กรมสรรพากรวางแนวทางปฏิบัติโดยไม่ยอมให้นำจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายมาใช้เป็นเครดิตหักออกจากจำนวนภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีที่ต้องชำระตามแบบ ภ.ง.ด.51 หรือตามผลการตรวจสอบ เป็นกรณีที่กรมสรรพากรฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 69 ทวิ มาตรา 69 ตรี และมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร ที่กำหนดให้นำจำนวนภาษ๊เงินได้หัก ณ ที่จ่ายมาถือเป็นเครดิตในการคำนวณจำนวนภาษีที่ต้องลชำระ