ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

อาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากร

บทความวันที่ 6 เม.ย. 2560  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 7215 ครั้ง

อาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากร

 

เนื่องจากประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง Asia Pacific Group on Money Laundering (APG) มีเหตุผลความจําเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ (Terms of References) ที่กําหนดให้ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตามข้อแนะนําของ Financial Action Task Force (FATF) ในการกําหนดให้อาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากรที่มีลักษณะร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และเพื่อให้เป็นไปตามเหตุผลดังกล่าว อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงและการฉ้อโกงภาษีอากร สมควรกําหนดให้การกระทําความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรและการฉ้อโกงภาษีอากรที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

รัฐบาล ฯพณฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงได้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2560 เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 37 ตรี ในส่วน 3 บทกําหนดโทษ ของหมวด 2 วิธีการเกี่ยวแก่ภาษีอากรประเมิน ของลักษณะ 2 ภาษีอากรฝ่ายสรรพากร แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560 อันเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

มาตรา 37 ตรี ความผิดตามมาตรา 37 มาตรา 37 ทวิ หรือมาตรา 90/4 ที่ผู้กระทําความผิดเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนําส่งภาษีอากร และเป็นความผิดที่เกี่ยวกับจํานวนภาษีอากรที่หลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงตั้งแต่สิบล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป หรือจํานวนภาษีอากรที่ขอคืนโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทํานองเดียวกัน ตั้งแต่สองล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป และผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนําส่งภาษีอากรดังกล่าวได้กระทําในลักษณะที่เป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิดเงินได้พึงประเมินหรือรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้ให้ถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเมื่ออธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐานส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แล้วให้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป

       คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยอธิบดี รองอธิบดีและที่ปรึกษากรมสรรพากรทุกคน

จากบทบัญญัติดังกล่าว อาจแยกพิจารณาเป็นรายประเด็นได้ดังนี้

1. วัตถุประสงค์ของการตรากฎหมายนี้

2. ลักษณะของอาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากร

3. คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน

4. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

 

1. วัตถุประสงค์ของการตรากฎหมายนี้

วัตถุประสงค์ในการบัญญัติมาตรา 37 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มีดังนี้

1.1 เพื่ออนุวรรตให้เป็นไปตามข้อบังคับ (Terms of References: TOR) ของการเป็นประเทศสมาชิกของ Financial Action Task Force (FATF) ในการกําหนดให้อาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากรที่มีลักษณะร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในฐานะที่ประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง Asia Pacific Group on Money Laundering (APG)

1.2 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงและการฉ้อโกงภาษีอากร  เพื่อให้สามารถติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สิน

 

2. ลักษณะของอาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากร

ให้ถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

2.1 หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยง หรือฉ้อโกงจํานวนภาษีอากรที่มีจำนวนตั้งแต่สิบล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป ในความผิดดังต่อไปนี้

      2.1.1 ความผิดตามมาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร

             “มาตรา 37 ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท

                     (1) โดยเจตนาแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือเพื่อขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ

                     (2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้

      2.1.2 ความผิดตามมาตรา 37 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร”

             มาตรา 37 ทวิ ผู้ใดโดยเจตนาไม่ยื่นรายการที่ต้องยื่นตามลักษณะนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

      2.1.3 ความผิดตามมาตรา 90/4 แห่งประมวลรัษฎากร        

             มาตรา 90/4 บุคคลดังต่อไปนี้ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ระบุไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท

                     (1) ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิที่จะออกเอกสารดังกล่าวตามมาตรา 86 วรรคสอง หรือ มาตรา 86/1

                     (2) ตัวแทนผู้ประกอบการจดทะเบียนที่อยู่นอกราชอาณาจักร โดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 86/2 วรรคหนึ่ง

                     (3) ผู้ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิจะออก เอกสารดังกล่าวตามมาตรา 86/13

                     (4) ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ลงรายการ หรือลงรายการเป็นเท็จในรายงานตามมาตรา 87 หรือตามที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา 87/1

                     (5) ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ หรือใบแทนเอกสารดังกล่าว

                     (6) ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใด ๆ โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใด ทำนองเดียวกัน

                     (7) ผู้ประกอบการโดยเจตนานำใบกำกับภาษีปลอม หรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษี”

2.2 ขอคืนภาษีอากร โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทํานองเดียวกัน มีจํานวนตั้งแต่สองล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป

2.3 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนําส่งภาษีอากร ตามข้อ 2.1 และหรือ 2.2 ดังกล่าว ได้กระทําในลักษณะที่เป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิดเงินได้พึงประเมินหรือรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้

 

3. คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน

3.1 องค์คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐานประกอบด้วยอธิบดี รองอธิบดี และที่ปรึกษากรมสรรพากรทุกคน

3.2 หน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน

      3.2.1 พิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน

      3.2.2 ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้ว ให้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป

 

4. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นไปตามมาตรา 5 ถึงมาตรา 12 ในหมวด 1 บททั่วไป แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดังนี้

4.1  ผู้กระทําความผิดฐานฟอกเงิน

      “มาตรา 5 ผู้ใด

             (1) โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทําความผิด มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือ

             (2) กระทําด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออําพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจําหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด

             ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฟอกเงิน”

      มาตรา 6 ผู้ใดกระทําความผิดฐานฟอกเงิน แม้จะกระทํานอกราชอาณาจักรผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรตามที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ถ้าปรากฏว่า

             (1) ผู้กระทําความผิดหรือผู้ร่วมกระทําความผิดคนใดคนหนึ่งเป็นคนไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

             (2) ผู้กระทําความผิดเป็นคนต่างด้าว และได้กระทําโดยประสงค์ให้ความผิดเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือรัฐบาลไทยเป็นผู้เสียหาย หรือ

             (3) ผู้กระทําความผิดเป็นคนต่างด้าว และการกระทํานั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของรัฐที่การกระทําเกิดขึ้นในเขตอํานาจของรัฐนั้น หากผู้นั้นได้ปรากฏตัวอยู่ในราชอาณาจักรและมิได้มีการส่งตัวผู้นั้นออกไปตามกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

             ทั้งนี้ให้นํามาตรา 10 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม

4.2 บทกำหนดโทษ

      มาตรา 7 ในความผิดฐานฟอกเงิน ผู้ใดกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น

             (1) สนับสนุนการกระทําความผิดหรือช่วยเหลือผู้กระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด

             (2) จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ หรือวัตถุใด ๆ หรือกระทําการใด ๆ เพื่อช่วยให้ผู้กระทําความผิดหลบหนีหรือเพื่อมิให้ผู้กระทําความผิดถูกลงโทษ หรือเพื่อให้ได้รับประโยชน์ในการกระทําความผิด

             ผู้ใดจัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ที่พํานัก หรือที่ซ่อนเร้น เพื่อช่วยบิดา มารดาบุตร สามีหรือภริยาของตนให้พ้นจากการถูกจับกุม ศาลจะไม่ลงโทษผู้นั้นหรือลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

      มาตรา 8 ผู้ใดพยายามกระทําความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษตามที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดสําเร็จ

      มาตรา 9 ผู้ใดสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐาน ฟอกเงิน ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

             ถ้าได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่งผู้สมคบกันนั้นต้องระวางโทษตามที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

             ในกรณีที่ความผิดได้กระทําถึงขั้นลงมือกระทําความผิด แต่เนื่องจากการเข้าขัดขวางของผู้สมคบทําให้การกระทํานั้นกระทําไปไม่ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้สมคบที่กระทําการขัดขวางนั้น คงรับโทษตามที่กําหนดไว้ในวรรคหนึ่งเท่านั้น

             ถ้าผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่งกลับใจให้ความจริงแห่งการสมคบต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะมีการกระทําความผิดตามที่ได้สมคบกัน ศาลจะไม่ลงโทษผู้นั้นหรือลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้เพียงใดก็ได้

      มาตรา 10 เจ้าพนักงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กรรมการหรือผู้บริหารหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งเป็นผู้มีอํานาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือกรรมการขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ใดกระทําความผิดตามหมวดนี้ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

             กรรมการ อนุกรรมการ กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ผู้ใดกระทําความผิดตามหมวดนี้ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

      มาตรา 11 กรรมการ อนุกรรมการ กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการ พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงาน หรือข้าราชการผู้ใดกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา อันเกี่ยวเนื่องกับการกระทําความผิดตามหมวดนี้ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

             ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้ใดร่วมในการกระทําความผิดกับบุคคลตามวรรคหนึ่งไม่ว่าในฐานะตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง

4.3 เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา   

      มาตรา 12 ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ให้กรรมการ อนุกรรมการ  กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการ และพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

4.4 การดําเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน ตามมาตรา 48 และมาตรา 49 ในหมวด 6 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดังนี้

      มาตรา 48 ในการตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทําธุรกรรม หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินใดที่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด ให้คณะกรรมการธุรกรรมมีอํานาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นไว้ชั่วคราวมีกําหนดไม่เกินเก้าสิบวัน

             ในกรณีจําเป็นหรือเร่งด่วน เลขาธิการจะสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งไปก่อน แล้วรายงานต่อคณะกรรมการธุรกรรม

             การตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทําธุรกรรมตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง

             ผู้ทําธุรกรรมซึ่งถูกสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สิน หรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินจะแสดงหลักฐานว่าเงินหรือทรัพย์สินในการทําธุรกรรมนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อให้มีคําสั่งเพิกถอนการยึดหรืออายัดก็ได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง

             เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการ แล้วแต่กรณีสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือสั่งเพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นแล้ว ให้คณะกรรมการธุรกรรมรายงานต่อคณะกรรมการ

      มาตรา 49 ภายใต้บังคับมาตรา 48 วรรคหนึ่ง ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด ให้เลขาธิการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณาเพื่อยื่นคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็ว

             ในกรณีที่พนักงานอัยการเห็นว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์พอที่จะยื่นคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้ทรัพย์สินนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนตกเป็นของแผ่นดินได้ให้พนักงานอัยการรีบแจ้งให้เลขาธิการทราบเพื่อดําเนินการต่อไป โดยให้ระบุข้อที่ไม่สมบูรณ์นั้นให้ครบถ้วนในคราวเดียวกัน

             ให้เลขาธิการรีบดําเนินการตามวรรคสองแล้วส่งเรื่องเพิ่มเติมไปให้พนักงานอัยการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง หากพนักงานอัยการยังเห็นว่าไม่มีเหตุพอที่จะยื่นคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้ทรัพย์สินนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนตกเป็นของแผ่นดิน ให้พนักงานอัยการรีบแจ้งให้เลขาธิการทราบเพื่อส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดภายในกําหนดสามสิบวันนับแต่ได้รับเรื่องจากเลขาธิการ และเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเป็นประการใดให้พนักงานอัยการ

 

5. บทสรุป

มาตรา 37 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร นับได้ว่า เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงและการฉ้อโกงภาษีอากร  เพื่อให้สามารถติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สิน โดยเชื่อมโยงและนำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาใช้ในป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรและการฉ้อโกงภาษีอากรที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

 

เนื่องจากประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง Asia Pacific Group on Money Laundering (APG) มีเหตุผลความจําเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ (Terms of References) ที่กําหนดให้ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตามข้อแนะนําของ Financial Action Task Force (FATF) ในการกําหนดให้อาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากรที่มีลักษณะร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และเพื่อให้เป็นไปตามเหตุผลดังกล่าว อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงและการฉ้อโกงภาษีอากร สมควรกําหนดให้การกระทําความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรและการฉ้อโกงภาษีอากรที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

รัฐบาล ฯพณฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงได้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2560 เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 37 ตรี ในส่วน 3 บทกําหนดโทษ ของหมวด 2 วิธีการเกี่ยวแก่ภาษีอากรประเมิน ของลักษณะ 2 ภาษีอากรฝ่ายสรรพากร แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560 อันเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

มาตรา 37 ตรี ความผิดตามมาตรา 37 มาตรา 37 ทวิ หรือมาตรา 90/4 ที่ผู้กระทําความผิดเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนําส่งภาษีอากร และเป็นความผิดที่เกี่ยวกับจํานวนภาษีอากรที่หลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงตั้งแต่สิบล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป หรือจํานวนภาษีอากรที่ขอคืนโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทํานองเดียวกัน ตั้งแต่สองล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป และผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนําส่งภาษีอากรดังกล่าวได้กระทําในลักษณะที่เป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิดเงินได้พึงประเมินหรือรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้ให้ถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเมื่ออธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐานส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แล้วให้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป

       คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยอธิบดี รองอธิบดีและที่ปรึกษากรมสรรพากรทุกคน

จากบทบัญญัติดังกล่าว อาจแยกพิจารณาเป็นรายประเด็นได้ดังนี้

1. วัตถุประสงค์ของการตรากฎหมายนี้

2. ลักษณะของอาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากร

3. คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน

4. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

 

1. วัตถุประสงค์ของการตรากฎหมายนี้

วัตถุประสงค์ในการบัญญัติมาตรา 37 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มีดังนี้

1.1 เพื่ออนุวรรตให้เป็นไปตามข้อบังคับ (Terms of References: TOR) ของการเป็นประเทศสมาชิกของ Financial Action Task Force (FATF) ในการกําหนดให้อาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากรที่มีลักษณะร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในฐานะที่ประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง Asia Pacific Group on Money Laundering (APG)

1.2 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงและการฉ้อโกงภาษีอากร  เพื่อให้สามารถติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สิน

 

2. ลักษณะของอาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากร

ให้ถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

2.1 หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยง หรือฉ้อโกงจํานวนภาษีอากรที่มีจำนวนตั้งแต่สิบล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป ในความผิดดังต่อไปนี้

      2.1.1 ความผิดตามมาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร

             “มาตรา 37 ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท

                     (1) โดยเจตนาแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือเพื่อขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ

                     (2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้

      2.1.2 ความผิดตามมาตรา 37 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร”

             มาตรา 37 ทวิ ผู้ใดโดยเจตนาไม่ยื่นรายการที่ต้องยื่นตามลักษณะนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

      2.1.3 ความผิดตามมาตรา 90/4 แห่งประมวลรัษฎากร        

             มาตรา 90/4 บุคคลดังต่อไปนี้ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ระบุไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท

                     (1) ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิที่จะออกเอกสารดังกล่าวตามมาตรา 86 วรรคสอง หรือ มาตรา 86/1

                     (2) ตัวแทนผู้ประกอบการจดทะเบียนที่อยู่นอกราชอาณาจักร โดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 86/2 วรรคหนึ่ง

                     (3) ผู้ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิจะออก เอกสารดังกล่าวตามมาตรา 86/13

                     (4) ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ลงรายการ หรือลงรายการเป็นเท็จในรายงานตามมาตรา 87 หรือตามที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา 87/1

                     (5) ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ หรือใบแทนเอกสารดังกล่าว

                     (6) ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใด ๆ โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใด ทำนองเดียวกัน

                     (7) ผู้ประกอบการโดยเจตนานำใบกำกับภาษีปลอม หรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษี”

2.2 ขอคืนภาษีอากร โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทํานองเดียวกัน มีจํานวนตั้งแต่สองล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป

2.3 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนําส่งภาษีอากร ตามข้อ 2.1 และหรือ 2.2 ดังกล่าว ได้กระทําในลักษณะที่เป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิดเงินได้พึงประเมินหรือรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้

 

3. คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน

3.1 องค์คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐานประกอบด้วยอธิบดี รองอธิบดี และที่ปรึกษากรมสรรพากรทุกคน

3.2 หน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน

      3.2.1 พิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน

      3.2.2 ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้ว ให้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป

 

4. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นไปตามมาตรา 5 ถึงมาตรา 12 ในหมวด 1 บททั่วไป แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดังนี้

4.1  ผู้กระทําความผิดฐานฟอกเงิน

      “มาตรา 5 ผู้ใด

             (1) โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทําความผิด มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือ

             (2) กระทําด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออําพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจําหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด

             ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฟอกเงิน”

      มาตรา 6 ผู้ใดกระทําความผิดฐานฟอกเงิน แม้จะกระทํานอกราชอาณาจักรผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรตามที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ถ้าปรากฏว่า

             (1) ผู้กระทําความผิดหรือผู้ร่วมกระทําความผิดคนใดคนหนึ่งเป็นคนไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

             (2) ผู้กระทําความผิดเป็นคนต่างด้าว และได้กระทําโดยประสงค์ให้ความผิดเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือรัฐบาลไทยเป็นผู้เสียหาย หรือ

             (3) ผู้กระทําความผิดเป็นคนต่างด้าว และการกระทํานั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของรัฐที่การกระทําเกิดขึ้นในเขตอํานาจของรัฐนั้น หากผู้นั้นได้ปรากฏตัวอยู่ในราชอาณาจักรและมิได้มีการส่งตัวผู้นั้นออกไปตามกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

             ทั้งนี้ให้นํามาตรา 10 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม

4.2 บทกำหนดโทษ

      มาตรา 7 ในความผิดฐานฟอกเงิน ผู้ใดกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น

             (1) สนับสนุนการกระทําความผิดหรือช่วยเหลือผู้กระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด

             (2) จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ หรือวัตถุใด ๆ หรือกระทําการใด ๆ เพื่อช่วยให้ผู้กระทําความผิดหลบหนีหรือเพื่อมิให้ผู้กระทําความผิดถูกลงโทษ หรือเพื่อให้ได้รับประโยชน์ในการกระทําความผิด

             ผู้ใดจัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ที่พํานัก หรือที่ซ่อนเร้น เพื่อช่วยบิดา มารดาบุตร สามีหรือภริยาของตนให้พ้นจากการถูกจับกุม ศาลจะไม่ลงโทษผู้นั้นหรือลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

      มาตรา 8 ผู้ใดพยายามกระทําความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษตามที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดสําเร็จ

      มาตรา 9 ผู้ใดสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐาน ฟอกเงิน ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

             ถ้าได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่งผู้สมคบกันนั้นต้องระวางโทษตามที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

             ในกรณีที่ความผิดได้กระทําถึงขั้นลงมือกระทําความผิด แต่เนื่องจากการเข้าขัดขวางของผู้สมคบทําให้การกระทํานั้นกระทําไปไม่ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้สมคบที่กระทําการขัดขวางนั้น คงรับโทษตามที่กําหนดไว้ในวรรคหนึ่งเท่านั้น

             ถ้าผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่งกลับใจให้ความจริงแห่งการสมคบต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะมีการกระทําความผิดตามที่ได้สมคบกัน ศาลจะไม่ลงโทษผู้นั้นหรือลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้เพียงใดก็ได้

      มาตรา 10 เจ้าพนักงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กรรมการหรือผู้บริหารหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งเป็นผู้มีอํานาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือกรรมการขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ใดกระทําความผิดตามหมวดนี้ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

             กรรมการ อนุกรรมการ กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ผู้ใดกระทําความผิดตามหมวดนี้ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

      มาตรา 11 กรรมการ อนุกรรมการ กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการ พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงาน หรือข้าราชการผู้ใดกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา อันเกี่ยวเนื่องกับการกระทําความผิดตามหมวดนี้ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

             ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้ใดร่วมในการกระทําความผิดกับบุคคลตามวรรคหนึ่งไม่ว่าในฐานะตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง

4.3 เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา   

      มาตรา 12 ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ให้กรรมการ อนุกรรมการ  กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการ และพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

4.4 การดําเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน ตามมาตรา 48 และมาตรา 49 ในหมวด 6 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดังนี้

      มาตรา 48 ในการตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทําธุรกรรม หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินใดที่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด ให้คณะกรรมการธุรกรรมมีอํานาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นไว้ชั่วคราวมีกําหนดไม่เกินเก้าสิบวัน

             ในกรณีจําเป็นหรือเร่งด่วน เลขาธิการจะสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งไปก่อน แล้วรายงานต่อคณะกรรมการธุรกรรม

             การตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทําธุรกรรมตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง

             ผู้ทําธุรกรรมซึ่งถูกสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สิน หรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินจะแสดงหลักฐานว่าเงินหรือทรัพย์สินในการทําธุรกรรมนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดเพื่อให้มีคําสั่งเพิกถอนการยึดหรืออายัดก็ได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง

             เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการ แล้วแต่กรณีสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือสั่งเพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นแล้ว ให้คณะกรรมการธุรกรรมรายงานต่อคณะกรรมการ

      มาตรา 49 ภายใต้บังคับมาตรา 48 วรรคหนึ่ง ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด ให้เลขาธิการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณาเพื่อยื่นคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็ว

             ในกรณีที่พนักงานอัยการเห็นว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์พอที่จะยื่นคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้ทรัพย์สินนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนตกเป็นของแผ่นดินได้ให้พนักงานอัยการรีบแจ้งให้เลขาธิการทราบเพื่อดําเนินการต่อไป โดยให้ระบุข้อที่ไม่สมบูรณ์นั้นให้ครบถ้วนในคราวเดียวกัน

             ให้เลขาธิการรีบดําเนินการตามวรรคสองแล้วส่งเรื่องเพิ่มเติมไปให้พนักงานอัยการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง หากพนักงานอัยการยังเห็นว่าไม่มีเหตุพอที่จะยื่นคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้ทรัพย์สินนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนตกเป็นของแผ่นดิน ให้พนักงานอัยการรีบแจ้งให้เลขาธิการทราบเพื่อส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดภายในกําหนดสามสิบวันนับแต่ได้รับเรื่องจากเลขาธิการ และเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเป็นประการใดให้พนักงานอัยการ

 

5. บทสรุป

มาตรา 37 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร นับได้ว่า เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงและการฉ้อโกงภาษีอากร  เพื่อให้สามารถติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรและมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สิน โดยเชื่อมโยงและนำบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาใช้ในป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรและการฉ้อโกงภาษีอากรที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมร้ายแรงเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน