ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

ศึกษาประมวลรัษฎากร ด้วยตนเอง ตอนที่ 8 : คำอธิบายประมวลรัษฎากรรายมาตรา มาตรา 1 - มาตรา 4 แห่งประมวลรัษฎากร

บทความวันที่ 30 ก.ค. 2560  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 3821 ครั้ง

คำอธิบายประมวลรัษฎากร รายมาตรา

ลักษณะ 1 ข้อความเบื้องต้น

มาตรา 1 - มาตรา 4 แห่งประมวลรัษฎากร

 

มาตรา 1 ชื่อกฎหมาย

มาตรา 1 กฎหมายนี้ให้เรียกว่า ประมวลรัษฎากร

จากบทบัญญัติดังกล่าวอาจแยกพิจารณาได้ดังนี้

1. ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายโดยผลของบทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราช บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 ซึ่งบัญญัติว่า

      มาตรา 3 ให้ใช้ประมวลรัษฎากรตามที่ตราไว้ต่อท้ายพระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2482 เป็นต้นไป เว้นแต่บทบัญญัติในลักษณะ 2 หมวด 6 ว่าด้วยอากรแสตมป์นั้น ให้ใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พุทธศักราช 2482 เป็นต้นไป

2. เป็นที่น่าสังเกตว่า ชื่อกฎหมาย ประมวลรัษฎากรไม่ต้องต่อด้วยปีพุทธศักราช เพราะ

      ประมวลรัษฎากรเป็นเพียงชื่อเฉพาะที่บัญญัติไว้แต่เพียงนั้น โดยไม่มีปีพุทธศักราชต่อท้ายดังเช่นกรณีพระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด หรือแม้แต่พระราชกฤษฎีกา ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด  

      ดังเช่นกรณี ประมวลกฎหมายทั้งหลาย ซึ่งไม่มีปีพุทธศักราชต่อท้าย เพราะเป็นชื่อเฉพาะดังกล่าว ซึ่งรวมทั้ง ประมวลรัษฎากรด้วย การศึกษาว่า ประมวลกฎหมายฉบับนั้นตราออกมาใช้บังคับเมื่อใด โดยกฎหมายใด ก็ต้องย้อนกลับไปศึกษาจากพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายฉบับนั้นๆ เว้นแต่ ประมวลกฎหมายอาญาทหาร เป็นบทบัญญัติที่เป็นพระราชบัญญัติโดยตนเอง

3. การทำความเข้าใจประมวลรัษฎากร ต้องเข้าใจภาพรวม และคิดอย่างเป็นระบบ ซึ่งประมวลรัษฎากร ก็จะบังคับให้เรามีความเป็นระบบเชื่อมโยงกันเป็น network เครือข่าย ไม่อาจศึกษาเป็นรายมาตราได้ ทุกมาตราล้วนเชื่อมโยงกับมาตราอื่นๆ เสมอ เช่น

      นอกจาก มาตรา 1 แห่งประมวลรัษฎากร เชื่อมโยงกับมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 ดังกล่าวแล้ว มาตรา 1 ยังเชื่อมโยงกับมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งประมวลรัษฎากร ในมุมของการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ดังนี้

      “มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามประมวลรัษฎากรนี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมินและเจ้าพนักงานอื่น โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษากับออกกฎกระทรวง

           (1) ให้ใช้หรือยกเลิกแสตมป์โดยกำหนดให้นำมาแลกเปลี่ยนกับแสตมป์ที่ใช้ได้ ภายในเวลาและเงื่อนไขที่กำหนด แต่ต้องให้เวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวัน

           (2) กำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรนี้

           กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

      มาตรา 5 ภาษีอากรซึ่งบัญญัติไว้ในลักษณะนี้ ให้อยู่ในอำนาจหน้าที่และการควบคุมของกรมสรรพากร"

      และมาตรา 1 แห่งประมวลรัษฎากร ย่อมครอบคลุมไปในทุกมาตราในฐานะบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร เป็นต้น

 

มาตรา 2 บทนิยามศัพท์

มาตรา 2 ในประมวลรัษฎากรนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

               “รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามประมวลรัษฎากรนี้

               ““อธิบดี หมายความว่า อธิบดีกรมสรรพากร หรือผู้ที่อธิบดีกรมสรรพากรมอบหมาย

               (คำว่า อธิบดีแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2527 ใช้บังคับ 1 มกราคม 2528 เป็นต้นไป)

               ผู้ว่าราชการจังหวัด หมายความรวมถึง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหา นครด้วย

               อำเภอ หมายความว่านายอำเภอ สมุห์บัญชีอำเภอ หรือสมุห์บัญชีเขต

               นายอำเภอหมายความรวมถึง หัวหน้าเขต และปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอด้วย

               ที่ว่าการอำเภอ หมายความรวมถึง ที่ว่าการเขต และที่ว่าการกิ่งอำเภอด้วย

               องค์การของรัฐบาล หมายความว่า องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล และกิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น และหมายความรวมถึงหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วย

               ประเทศไทยหรือ ราชอาณาจักร หมายความรวมถึง เขตไหล่ทวีปที่เป็นสิทธิของประเทศไทยตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไป และตามความตกลงกับต่างประเทศด้วย

(มาตรา 2 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 10 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2520 ใช้บังคับ 9 พฤศจิกายน 2520 เป็นต้นไป)

บทนิยามศัพท์ตามมาตรา 2 ถือเป็นกฎหมายทั่วไป ให้นำไปใช้กับทั้งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เว้นแต่ในประมวลรัษฎากรนี้ จะมีข้อความเกี่ยวกับนิยามศัพท์ของคำเหล่านี้ แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

1. คำว่า รัฐมนตรีหมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามประมวลรัษฎากรนี้ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา 4 เป็นการบัญญัติเพื่อให้ทราบว่า กระทรวงที่มีหน้าที่กำกับดูแลการบริหารจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ กระทรวงการคลัง แต่สำหรับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการจัดเก็บโดยตรง ได้แก่ กรมสรรพากรตามมาตรา 5

2. คำว่า อธิบดี”      หมายความว่า อธิบดีกรมสรรพากร หรือผู้ที่อธิบดีกรมสรรพากรมอบหมาย

      คำว่า อธิบดีแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2527 ใช้บังคับ 1 มกราคม 2528 เป็นต้นไป

      อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับอำนาจอธิบดีกรมสรรพากรในอันที่จะเข้าไปในสถานที่ หรือยานพาหนะใดเพื่อทำการตรวจค้น ยึด หรืออายัดบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวกับ หรือสันนิษฐานว่าเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะต้องเสียทั่วราชอาณาจักรตามมาตรา 3 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร นั้น คำว่า อธิบดีให้หมายถึงเฉพาะตัวอธิบดีกรมสรรพากรเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้ที่อธิบดีกรมสรรพากรมอบหมาย เพราะตามมาตรา 3 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติว่า ในกรณีเจ้าพนักงานสรรพากรเข้าไปในสถานที่หรือยานพาหนะใดเพื่อทำการตรวจค้น ยึดหรืออายัดบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวกับ หรือสันนิษฐานว่าเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะต้องเสียนั้น ต้องให้อธิบดีกรมสรรพากรออกคำสั่งเป็นหนังสือจึงจะกระทำได้

3.ผู้ว่าราชการจังหวัดหมายความรวมถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครด้วย

      ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร กล่าวถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดดังนี้

      3.1 มาตรา 3 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเจ้าพนักงานเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรต้องได้รับโทษจำคุก หรือไม่ควรถูกฟ้องร้องในความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือมีโทษปรับหรือจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ ซึ่งโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน ที่เกิดขึ้นในเขตจังหวัดอื่น ให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเปรียบเทียบ โดยกำหนดค่าปรับแต่สถานเดียวในความผิดดังกล่าว

      3.2 มาตรา 3 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเข้าไปหรือออกคำสั่งเป็นหนังสือ ให้เจ้าพนักงานสรรพากรเข้าไปในสถานที่หรือยานพาหนะใดเพื่อทำการตรวจค้น ยึดหรืออายัดบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวกับ หรือสันนิษฐานว่าเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะต้องเสียสำหรับในเขตท้องที่จังหวัดนั้น

      3.4 มาตรา 4 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร อำนาจ ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายในอันที่จะออกใบผ่านภาษีอากร

      3.5 มาตรา 12 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้ทั่วราชอาณาจักร โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่งอำนาจดังกล่าว

      3.6 มาตรา 30 และมาตรา 32 แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทน เป็นองค์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กรณีเจ้าพนักงานประเมินผู้ทำการประเมินมีสำนักงานอยู่ในเขตจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร และมีอำนาจออกหมายเรียกผู้อุทธรณ์มาไต่สวน ออกหมายเรียกพยาน กับสั่งให้ผู้อุทธรณ์หรือพยานนั้นนำสมุดบัญชี หรือพยานหลักฐานอย่างอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ แต่ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวันนับแต่วันส่งหมาย  

4. คำว่า อำเภอ” “นายอำเภอและ ที่ว่าการอำเภอ

      อำเภอหมายความว่านายอำเภอ สมุห์บัญชีอำเภอ หรือสมุห์บัญชีเขต

      นายอำเภอ หมายความรวมถึงหัวหน้าเขต และปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอด้วย

      ที่ว่าการอำเภอหมายความรวมถึงที่ว่าการเขต และที่ว่าการกิ่งอำเภอด้วย

      ปัจจุบันนับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2545 เป็นต้นมา คำว่า อำเภอ” “นายอำเภอและ ที่ว่าการอำเภอไม่มีผลใช้บังคับ เพราะเหตุที่กรมสรรพากรปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเป็นส่วนกลางทั้งหมด โดยไม่มีส่วนภูมิภาค (ดู คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 112/2545 ซึ่งออกตามความในมาตรา 11 ประกอบ)

5. คำว่า องค์การของรัฐบาลหมายความว่า องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล และกิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น และหมายความรวมถึงหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วย  

      5.1 จากบทบัญญัติคำว่า องค์การของรัฐบาลอาจจำแนกรายละเอียดได้ดังนี้

           (1) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล อาทิ กระทรวง ทบวง กรม กองทัพ จังหวัด มหาวิทยาลัยของรัฐ

           (2) กิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งขึ้น อาทิ เทศบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์การบริหารราชการส่วนจังหวัด องค์การบริหารราชการส่วนตำบล รัฐวิสาหกิจที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

           (3) หน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล อาทิ องค์การค้าของคุรุสภา โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง สรรพากรสาส์น โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น

      5.2 คำว่า องค์การของรัฐบาลเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติดังต่อไปนี้

           (1) มาตรา 50 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย

           (2) มาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย

           (3) มาตรา 77/1 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ขยายความคำว่า บุคคลที่เป็นผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม

6. คำว่า ประเทศไทยหรือ ราชอาณาจักหมายความรวมถึง เขตไหล่ทวีปที่เป็นสิทธิของประเทศไทยตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไป และตามความตกลงกับต่างประเทศด้วย

      6.1 ประเทศไทยหรือ ราชอาณาจักรตามประมวลรัษฎากรประกอบด้วย

           (1) ประเทศไทยหรือ ราชอาณาจักรหมายถึง เขตภาคพื้นทวีปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขต เกาะ แก่ง

                 ทะเลอาณาเขต (The Territorial Sea) หมายถึง ทะเลที่อยู่ถัดจากน่านน้ำภายในและถือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของรัฐ มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลนับจากเส้นฐาน

           (2) เขตไหล่ทวีปที่เป็นสิทธิของประเทศไทย ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไป (12 ไมล์ทะเล)

            (3) เขตไหล่ทวีปตามความตกลงกับต่างประเทศ ซึ่งได้แก่ เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone: EEZ)  

                 เขตเศรษฐกิจจำเพาะ คือ บริเวณที่อยู่เลยไปจากและประชิดกับทะเลอาณาเขต มีความกว้างไม่เกิน 200 ไมล์ทะเลนับจากเส้นฐาน รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจ แสวงประโยชน์ อนุรักษ์และจัดการในทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ทั้งที่อยู่ในห้วงน้ำ พื้นดินท้องทะเล ดินใต้ผิวดิน ตลอดจนกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ในเขตพื้นที่นั้น ทั้งนี้รัฐชายฝั่งจะต้องประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะของตนก่อนจึงจะสามารถมีสิทธิตามกฎหมายได้ เรือทุกประเภท รวมถึงเรือรบ และอากาศยานของรัฐทั้งปวง มีเสรีภาพในการเดินเรือ และบินผ่าน และรัฐทั้งปวงมีเสรีภาพในการใช้ทะเลในทางอื่น เช่น การวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล การสร้างเกาะเทียม สิ่งติดตั้ง การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้บังคับและเงื่อนไขตามที่อนุสัญญาฯ กำหนด นอกจากนี้ การใช้เสรีภาพดังกล่าวยังต้องเคารพกฎหมายของรัฐชายฝั่ง และรัฐชายฝั่งจะต้องไม่ออกกฎหมายหรือข้อบังคับที่ทำให้เสรีภาพของรัฐอื่นเสียไป

      6.2 เขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Development Area) เป็นบริเวณที่ไทยและมาเลเซียอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร โดยอยู่ห่างจากจังหวัดสงขลาประมาณ 260 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดปัตตานี 180 กิโลเมตร และจากเมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซียประมาณ 150 กิโลเมตร

           ในทางประมวลรัษฎากรมีการตราอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับ เขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย มาเลเซีย อาทิ พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 332) พ.ศ. 2541 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) 

      6.3 คำว่า ประเทศไทยหรือ ราชอาณาจักรเกี่ยวข้องกับหลักการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรดังนี้

           (1) หลักการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตาม มาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร ตามหลักแหล่งเงินได้สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และหลักถิ่นที่อยู่สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ

            (2) หลักการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร

           (3) หลักการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ตามหลักการบริโภคสินค้าหรือบริการในราชอาณาจักร และการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร  

           (4) หลักการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/2  แห่งประมวลรัษฎากร ตามหลักการบริโภคสินค้าหรือบริการเฉพาะธุรกิจที่ไม่อาจคำนวณมูลค่าเพิ่มหรือคำนวณได้โดยยาก

           (5) หลักการจัดเก็บอากรแสตมป์ ตามมาตรา 104 รวมทั้งมาตรา 111 แห่งประมวลรัษฎากร สยามตามหลักการคุ้มครองให้ตราสารนั้นสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้  

 

มาตรา 3 แห่งประมวลรัษฎากร การตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อการลดอัตราหรือยกเว้นรัษฎากร

มาตรา 3 บรรดารัษฎากรประเภทต่างๆ ซึ่งเรียกเก็บตามประมวลรัษฎากรนี้จะตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อการต่อไปนี้ก็ได้ คือ

      (1) ลดอัตรา หรือยกเว้นเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ กิจการหรือสภาพของท้องที่บางแห่งหรือทั่วไป

      (2) ยกเว้นแก่บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือตามสัญญาหรือตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกันกับนานาประเทศ

      (3) ยกเว้นแก่รัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล องค์การศาสนาหรือองค์การการกุศลสาธารณะ

      การลดหรือยกเว้นตาม (1)(2) และ (3) นั้น จะตราพระราชกฤษฎีกายกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงก็ได้

(มาตรา 3 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 ใช้บังคับ 10 กุมภาพันธ์ 2496 เป็นต้นไป)

จากบทบัญญัติดังกล่าวอาจแยกพิจารณาได้ดังนี้

1. ลักษณะของกฎหมายภาษีอากรที่ดี ลักษณะหนึ่ง คือ หลักความยืดหยุ่น (Flexible) ในอันที่จะบัญญัติกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ หรือกิจการเฉพาะบางประเภท โดยยกเว้นหรือลดอัตราภาษีอากรให้เหมาะสม ซึ่งประมวลรัษฎากรได้มีบทบัญญัติมาตรา 3 ให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารที่จะแนะนำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร เพื่อการดังต่อไปนี้

      1.1 ลดอัตรา หรือยกเว้นรัษฎากรเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ กิจการหรือสภาพของท้องที่บางแห่งหรือทั่วไป

      1.2 ยกเว้นแก่บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือตามสัญญาหรือตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกันกับนานาประเทศ

      1.3 ยกเว้นแก่รัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล องค์การศาสนาหรือองค์การการกุศลสาธารณะ

2. การตราพระราชกฤษฎีกาฯ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 (1) เพื่อลดอัตรา หรือยกเว้นเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ กิจการหรือสภาพของท้องที่บางแห่งหรือทั่วไป หรือตามมาตรา 3 (2) เพื่อยกเว้นแก่บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือตามสัญญาหรือตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกันกับนานาประเทศ มีรูปแบบดังนี้

      2.1 ชื่อพระราชกฤษฎีกา จะใช้ว่า “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นหรือลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ....” โดยระบุฉบับที่ เป็นลำดับการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ตั้งแต่ต้น และระบุปี พุทธศักราชที่ตราพระราชกฤษฎีกาฉบับนั้นๆ เว้นแต่การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าสินค้าบางกรณี ก็จะใช้ว่า “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ....” เช่น พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 311) พ.ศ. 2540 (ฉบับที่ 313) พ.ศ. 2540 (ฉบับที่ 348) พ.ศ. 2542 และระบุชื่อพระราชกฤษฎีกาฯ ที่มาตรา 1 อีกครั้งหนึ่ง

      2.2 เป็นพระราชโองการแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงครองราชย์ในขณะนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร โดยระบุวันที่ เดือน และปีพุทธศักราชที่ทรงตราพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนั้นๆ ขึ้น และระบุปีที่ครองราชย์

      2.3 ที่วรรคสามของพระราชกฤษฎีกาฯ นอกจากระบุเลขมาตราแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกา แล้ว ต้องอ้างอำนาจตามความในมาตรา 3 (1) หรือ (2) หรือ (3) แห่งประมวลรัษฎากร

      2.4 ที่มาตราสุดท้าย ระบุให้รัฐมนตรีว่างการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนั้นๆ

      2.5 มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ

      2.6 ที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ จะมีหมายเหตุที่แสดงเจตนารมณ์แห่งการตราพระราชกฤษฎีกาฉบับนั้น เพื่อความชัดเจนในการปรับใช้กฎหมาย

 

มาตรา 4 แห่งประมวลรัษฎากร รัฐมนตรีผู้รักษาการตามประมวลรัษฎากร และอำนาจรัฐมนตรี

มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามประมวลรัษฎากรนี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมิน และเจ้าพนักงานอื่นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา กับออกกฎกระทรวง

      (1) ให้ใช้หรือให้ยกเลิกแสตมป์โดยกำหนดให้นำมาแลกเปลี่ยนกับแสตมป์ที่ใช้ได้ภายในเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดแต่ต้องให้เวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวัน

      (2) กำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรนี้

      กฎกระทรวงนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

จากบทบัญญัติมาตรา 4 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2513 ใช้บังคับ 25 ตุลาคม 2513 เป็นต้นไปดังกล่าว อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้

1. รัฐมนตรีผู้รักษาการตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในทำนองเดียวกับการรักษาการตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 ซึ่งตามมาตรา 4 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ฯ ก็บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลรักษาการเช่นเดียวกัน

2. อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา 4

               2.1 อำนาจในการออกกฎกระทรวง โดยกฎกระทรวงนั้นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อยังให้ทราบกันโดยทั่วไปจึงจะใช้บังคับได้ (มาตรา 4 วรรคสอง)

                     (1) ให้ใช้หรือให้ยกเลิกแสตมป์โดยกำหนดให้นำมาแลกเปลี่ยนกับแสตมป์ที่ใช้ได้ภายในเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดแต่ต้องให้เวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวัน ได้แก่ กฎกระทรวง ฉบับที่ 79 (พ.ศ. 2496) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยอากรแสตมป์ ดังนี้

                           ข้อ 2 แสตมป์ปิดทับตามความในมาตรา 103 ให้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีภาพพระอุเทนทราธิราชดีดพิณอยู่ในรูปวงกลม ส่วนบนมีอักษรว่า อากรแสตมป์ส่วนล่างแสดงราคาอากรแสตมป์ มีชนิด ราคา สี และขนาด ดั่งต่อไปนี้

                                (ก) ชนิดราคา 5 สตางค์สีม่วง ชนิดราคา 10 สตางค์สีแดง ชนิดราคา 25 สตางค์สีเทา ชนิดราคา 50 สตางค์ สีเหลืองอ่อน ขนาดกว้าง 1.5 เซนติเมตร ยาว 2.1 เซนติเมตร

                                (ข) ชนิดราคา 1 บาทสีน้ำเงินอ่อน ชนิดราคา 2 บาทสีหมากสุก ชนิดราคา 5 บาทสีเขียว ชนิดราคา 20 บาท สีส้มแก่ทับสีเหลือง ขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 3 เซนติเมตร 

                     (2) กำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร 

               2.2 อำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมิน และเจ้าพนักงานอื่นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลังเพื่อแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมินและเจ้าพนักงานอื่นตามประกาศกระทรวงการคลัง (ฉบับที่ 54)